ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ม.ป.ช. ม.ว.ม.
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 28
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
5 สิงหาคม พ.ศ. 2554[1]
รองนายกรัฐมนตรี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
เฉลิม อยู่บำรุง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
ยุทธศักดิ์ ศศิประภา
ชุมพล ศิลปอาชา
สมัยก่อนหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 (45 ปี)
อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย
พรรคการเมือง เพื่อไทย
คู่สมรส อนุสรณ์ อมรฉัตร
วิชาชีพ นักธุรกิจ
นักการเมือง
ศาสนา พุทธเถรวาท
ลายมือชื่อ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ชื่อเล่น: ปู) เกิดวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 และนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยสังกัดพรรคเพื่อไทย, กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม ด้วยวัย 44 ปี จัดว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี[2][3]

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต ในสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ต่อมาเป็นผู้บริหารในธุรกิจซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ผู้เป็นพี่ชาย และภายหลังเป็นประธาน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)

ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพันตำรวจโททักษิณ เสนอชื่อยิ่งลักษณ์เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยได้ผู้แทนราษฎร 265 ที่นั่ง นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยที่พรรคการเมืองพรรคเดียวครองเสียงข้างมากในสภา จากนั้นยิ่งลักษณ์ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554 [4]

เนื้อหา

ประวัติ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เป็นบุตรของเลิศ และยินดี ชินวัตร (สกุลเดิม ระมิงค์วงศ์) สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย[5] เข้ารับพระราชทานปริญญารัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สิงห์ขาวรุ่น 21) เมื่อปี พ.ศ. 2531 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2533

สกุลชินวัตร

ดูบทความหลักที่ สกุลชินวัตร

สกุล "ชินวัตร" มีบรรพบุรุษคือคูชุนเส็ง เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาขึ้นฝั่งที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และในเวลาต่อมา เชียง แซ่คู ซึ่งเป็นบุตรชายของคูชุนเส็ง ก็เป็นผู้เริ่มเปลี่ยนมาใช้นามสกุล "ชินวัตร" จนถึงปัจจุบัน

ยิ่งลักษณ์เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของเลิศ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ และยินดี ชินวัตร ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าจันทร์ทิพย์ ระมิงค์วงศ์ (นับเป็นหลานตาของเจ้าไชยสงคราม สมพมิตร ณ เชียงใหม่ ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา) ยิ่งลักษณ์มีพี่น้อง 10 คน อาทิ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, เยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติ, เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และพายัพ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นน้องสะใภ้ของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านทางเยาวภาผู้เป็นพี่สาว

ยิ่งลักษณ์เป็นหลานอาของสุเจตน์ ชินวัตร อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และสุรพันธ์ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพลเอกชัยสิทธิ์เป็นบุตรชายของพันเอกพิเศษ ศักดิ์ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายคนโตของเลิศ ยิ่งลักษณ์ยังเป็นญาติของพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านทางคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของพันตำรวจโททักษิณอีกด้วย[6]

บรรพบุรุษ

ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว

ยิ่งลักษณ์ใช้ชีวิตคู่ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส กับอนุสรณ์ อมรฉัตร อดีตผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็มลิงก์เอเชียคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนคือ ศุภเสกข์ อมรฉัตร (ชื่อเล่น: ไปค์)[7]

การทำงานในวงการธุรกิจ

เมื่อปี พ.ศ. 2534 ยิ่งลักษณ์เริ่มเข้าทำงานที่บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เทเลอินโฟมีเดีย จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ฐานข้อมูลและการสื่อสาร ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัดด้านการตลาดและการขาย หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ จนกระทั่งสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายผลิตในเวลาต่อมา จากนั้น พ.ศ. 2537 จึงมาเป็นผู้จัดการทั่วไป ของบริษัท เรนโบว์ มีเดีย ซึ่งเดิมเป็นแผนกงานโฆษณา ของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ไอบีซี; ปัจจุบันคือทรูวิชั่นส์) โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกจากไอบีซีคือรองกรรมการผู้อำนวยการ จากนั้นในปี พ.ศ. 2545 เข้าสู่แวดวงธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์และการสื่อสาร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น โดยขึ้นถึงประธานกรรมการบริหารบริษัทเป็นตำแหน่งสุดท้าย

หลังจากสกุลชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ยิ่งลักษณ์ก็ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยก่อนหน้านั้น เธอขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2548 เพื่อไปบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตรโดยตรง ด้วยการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ดูแลพอร์ตการลงทุนพัฒนาที่ดินทั้งหมดแทนบุษบา ดามาพงศ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549 และยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อปี พ.ศ. 2550 ในยุคที่พันตำรวจโททักษิณเป็นประธานสโมสรฯ[8] นอกจากนี้ ยังเป็นอดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ของวุฒิสภา[9] ปัจจุบัน ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม เพื่อการศึกษาของเยาวชนและสาธารณกุศลต่างๆ ที่พันตำรวจโททักษิณเป็นผู้ก่อตั้ง

การเข้าสู่การเมือง

พรรคเพื่อไทย

เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ในราวปลายปี พ.ศ. 2551 และหลังจากนั้นก็มี ส.ส.กับสมาชิกพรรคจำนวนมาก ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ก็เป็นทางเลือกแรกของพันตำรวจโททักษิณ ที่จะให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธโดยกล่าวว่า ตนไม่เคยต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรี และเพียงแต่สนใจจะทำธุรกิจของตนเท่านั้น โดยเธอจะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นบางครั้ง เฉพาะเมื่อทางพรรคส่งจดหมายเชิญเท่านั้น[10] ยงยุทธ วิชัยดิษฐจึงได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแทน

การรั่วไหลของโทรเลขภายในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2554 เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพันธมิตรใกล้ชิดกับพันตำรวจโททักษิณ (คาดว่าเป็นสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) กล่าวแก่อีริก จี.จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยว่า เขาไม่คิดว่ายิ่งลักษณ์จะมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย และว่า "ตัวทักษิณเองไม่ได้กระตือรือร้น ที่จะยกเธอให้สูงขึ้นภายในพรรค และมุ่งให้ความสำคัญ ในการหาทางให้เขา ยังมีส่วนร่วมในทางการเมืองอยู่มากกว่า" อย่างไรก็ตาม โทรเลขภายในต่อมา ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เอกอัครราชทูตหมายเหตุว่า ในการประชุมกับยิ่งลักษณ์ เธอพูดด้วยความมั่นใจเกี่ยวกับ "ปฏิบัติการ ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย" ของพรรคเพื่อไทย และดูเหมือนจะมี "ความมั่นใจมากขึ้น" กว่าการประชุมครั้งก่อนมาก โทรเลขภายในอ้างถึงยิ่งลักษณ์โดยกล่าวว่า "บางคนสามารถปรากฏออกมาค่อนข้างช้าในเกม เพื่อจะควบคุมพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป"[11]

ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย

ปลายปี พ.ศ. 2553 ยงยุทธ วิชัยดิษฐแสดงเจตจำนงว่าจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ท่ามกลางภาวะคาดการณ์ว่า จะมีการเลือกตั้งอย่างกะทันหันในช่วงต้นปี พ.ศ. 2554 ยิ่งเพิ่มการโต้เถียงภายในพรรค เกี่ยวกับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตัวเต็งคือยิ่งลักษณ์กับมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลผสม ซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนถึงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554 ยิ่งลักษณ์ยังคงไม่ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยย้ำว่าเธอต้องการมุ่งความสนใจไปยังการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามเธอได้รับการหนุนหลังจากนักการเมืองอาวุโส (คาดว่าเป็น ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง)[12]

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกยิ่งลักษณ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 3 กรกฎาคม[13] อย่างไรก็ตาม เธอมิได้เป็นหัวหน้าพรรค และมิได้เข้าร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรค การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นของพันตำรวจโททักษิณ โดยเขาให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า "เธอเป็นโคลนของผม" และ "เธอสามารถตอบ 'ใช่' หรือ 'ไม่' ในนามของผมได้"[14]

ยิ่งลักษณ์ระบุว่า การออกพระราชบัญญัติอภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม ที่เสนอโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุงนั้น "เป็นเพียงหลักและวิธีการ โดยหลักของส่วนนี้ต้องมาดูว่าจะได้อะไร และต้องมีคณะกรรมการทำหน้าที่พิจารณา โดยมีร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นหัวเรือ" ร้อยตำรวจเอกเฉลิมระบุว่าความคิดนิรโทษกรรม ไม่ได้ให้พันตำรวจโททักษิณเพียงคนเดียว แต่จะให้ทุกคน[15][16]

การรณรงค์เลือกตั้ง

ความปรองดองเป็นหลักในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ที่กินเวลามาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เธอสัญญาว่าจะให้อำนาจแก่ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) คณะทำงานซึ่งรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ตั้งขึ้น เพื่อสืบสวนกรณีการเสียชีวิตในระหว่างชุมนุมทางการเมืองเมื่อ พ.ศ. 2553[17] คอป.เคยแสดงท่าทีว่า งานของคณะกรรมการฯ ถูกขัดขวางโดยทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์[18] ยิ่งลักษณ์ยังเสนอให้นิรโทษกรรมทั่วไป แก่อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเมืองทั้งหมดที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งรวมไปถึงรัฐประหารครั้งนั้นด้วย คำพิพากษาที่ห้ามมิให้กรรมการบริหาร พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงการยึดทำเนียบรัฐบาลกับท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การสลายการชุมนุมของทหารในปี พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 และการวินิจฉัยคดีที่พันตำรวจโททักษิณถูกกล่าวหาทางการเมือง ว่าละเมิดอำนาจ[19] ข้อเสนอดังกล่าวถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยฝ่ายประชาธิปัตย์ ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นไปได้ที่จะเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะพันตำรวจโททักษิณ และจะส่งผลให้เขาได้รับทรัพย์สินมูลค่า 46,000 ล้านบาทที่เคยถูกพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินคืน อย่างไรก็ตามยิ่งลักษณ์ปฏิเสธว่า เธอไม่มีเจตนาจะนิรโทษกรรมแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประชาธิปัตย์ยังกล่าวโทษพรรคเพื่อไทยว่า เป็นต้นเหตุของการนองเลือด ระหว่างการสลายการชุมนุมของทหาร[20]

ยิ่งลักษณ์ยังอธิบาย "วิสัยทัศน์ 2020" ว่าจะกำจัดความยากจน[21] เธอสัญญาว่าจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% และลดถึง 20% ภายในปี พ.ศ. 2556 และเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และค่าแรงขั้นต่ำสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน นโยบายด้านการเกษตรของเธอ รวมไปถึงการเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (operating cashflow) ให้แก่ชาวนา และจัดหาเงินกู้ที่สามารถกู้ได้ มากที่สุดถึง 70% ของรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ โดยอาศัยราคาจำนำข้าว 15,000 บาทต่อตัน[22] เธอยังวางแผนที่จะจัดเตรียมระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายสาธารณะ และคอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (แท็บเล็ตพีซี) แก่เด็กนักเรียนทุกคน ซึ่งเคยเป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทย แต่กลับถูกรัฐประหารไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสียก่อน[23] โดยผลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งเกือบทั้งหมดออกมาว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะเหนือประชาธิปัตย์อย่างถล่มทลาย[24]

ผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล

ผลการหยั่งเสียงหน้าคูหาเลือกตั้งชี้ว่า พรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลาย โดยคาดว่าจะได้สูงถึง 310 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร[25] ผลอย่างเป็นทางการออกมาว่า พรรคเพื่อไทยได้ 265 ที่นั่ง โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 75.03% มีบัตรเสียจำนวน 3 ล้านบัตร ซึ่งจำนวนที่มากนี้อาจเป็นสาเหตุของความแตกต่าง ระหว่างผลเอกซิตโพลกับการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้น ที่พรรคการเมืองเดียวจะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าครึ่ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทยของพันตำรวจโททักษิณ

ยิ่งลักษณ์จัดตั้งรัฐบาลผสมอย่างรวดเร็ว กับพรรคชาติไทยพัฒนา (19 ที่นั่ง) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (7 ที่นั่ง) พรรคพลังชล (7 ที่นั่ง) พรรคมหาชน (1 ที่นั่ง) และพรรคประชาธิปไตยใหม่ (1 ที่นั่ง) รวมแล้วมี 300 ที่นั่ง[26] รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณกล่าวว่า เขายอมรับผลการเลือกตั้ง และหลังจากที่พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว จะไม่เข้ามาแทรกแซงการเมือง[27] ด้านผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งโดยปกติแล้วจะให้สัมภาษณ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย ปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์ใดๆ[28]

ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ดูบทความหลักที่ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 60
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

สภาผู้แทนราษฎรมีมติ 296 ต่อ 3 (งดออกเสียง 197 ไม่เข้าประชุม 4) เลือกยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และมีการจัดเตรียมพิธีรับพระบรมราชโองการไว้พร้อมแล้ว ณ อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แต่จากนั้นให้หลังอีกสามวัน จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีลงมา ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม ทว่าประกาศลงวันที่ 5 สิงหาคม[29][30] จากนั้นยิ่งลักษณ์จัดตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม และเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในวันที่ 10 สิงหาคม[31]

อุทกภัยครั้งใหญ่

ดูบทความหลักที่ อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554

พ.ศ. 2554 ฤดูฝนในประเทศไทยมีระดับปริมาณน้ำฝนสูงที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา[32] อุทกภัยเริ่มทางภาคเหนือของประเทศ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ยิ่งลักษณ์จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[33] อุทกภัยลุกลามจากภาคเหนือ ไปยังที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางภาคกลางอย่างรวดเร็ว และจนถึงต้นเดือนตุลาคม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถูกน้ำท่วมเกือบทั้งหมด อุทกภัยในประเทศไทยครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุดในรอบมากกว่า 50 ปี ยิ่งลักษณ์จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในส่วนกลาง ราวกลางเดือนตุลาคม และออกตรวจเยี่ยมจังหวัดที่ประสบภัย ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม[34] ยิ่งลักษณ์ยังให้สัญญาว่า จะลงทุนในโครงการป้องกันอุทกภัยระยะยาว รวมทั้งการก่อสร้างคลองระบายน้ำ มาตรการลดอุทกภัยถูกขัดขวาง โดยการพิพาทระหว่างประชาชน จากสองฝั่งของกำแพงกั้นน้ำ โดยฝั่งที่ถูกน้ำท่วมเข้าทำลายกำแพงกั้นน้ำในหลายกรณี และบางครั้งส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธ[35][36] ผู้นำฝ่ายค้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและผู้นำทหาร เรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งให้อำนาจแก่ทหารมากขึ้น ในการรับมือกับปัญหาการทำลายกำแพงกั้นน้ำ[37] ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยระบุว่าไม่ช่วยให้การจัดการอุทกภัยดีขึ้น เธอประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และออกประกาศเตือนภัยพิบัติ ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลมากขึ้น ในการจัดการการควบคุมอุทกภัยและการระบายน้ำแทน[38]

ข้อวิพากษ์วิจารณ์

การซื้อขายหุ้นชินคอร์ป

พันตำรวจโททักษิณ ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับยิ่งลักษณ์เมื่อ พ.ศ. 2543 จำนวน 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งขณะนั้น ราคาหุ้นดังกล่าวที่ซื้อขายกันในตลาด มีมูลค่า 150 บาท ทำให้ยิ่งลักษณ์ได้ผลประโยชน์หรือส่วนต่างประมาณ 280 ล้านบาท โดยเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนการทุจริต แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่า "จากการคำนวณของกรรมาธิการฯ พบว่ากรณียิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นผู้รับซื้อช่วงเดือนกันยายน ปี 2543 จะต้องเสียภาษีและเบี้ยปรับประมาณล้าน 300 ล้านบาท รวมทั้งหมดที่ต้องเสียภาษีและค่าปรับจนถึงวันที่ 30 กันยายน ปี 2548 เป็นเงิน 4,330 ล้านบาท"[ต้องการอ้างอิง]

ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ มีการเจรจาขายหุ้นชินคอร์ปครั้งประวัติศาสตร์กว่า 70,000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก เพื่อขจัดข้อครหาผลประโยชน์แฝง ในการบริหารประเทศของพันตำรวจโททักษิณ[39] ที่ถูกกล่าวหาว่าอาศัยอำนาจทางการเมือง เอื้อต่อธุรกิจของครอบครัว[40]นั้น พบว่าระดับราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พบว่า ผู้บริหารกลุ่มชินคอร์ปก็มีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในชินคอร์ปจำนวน 20 ล้านหุ้น ซึ่งได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็ก ไปพร้อมกับครอบครัวนั้น ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548-มกราคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจรจาการซื้อขายหุ้นอย่างชัดเจน โดยในช่วงเดือนเศษ มีการเทขายหุ้น บมจ.เอไอเอส 11 ครั้ง เป็นจำนวน 278,400 หุ้น ในระดับราคาตั้งแต่ 101-113 บาทต่อหุ้น ในกรณีนี้ถือเป็นข้อกังขาว่า ยิ่งลักษณ์ใช้ข้อมูลอินไซเดอร์หรือไม่ เพราะยิ่งลักษณ์เป็นหนึ่งในผู้ที่ตกลงขายหุ้นให้กับเทมาเส็ก ยอมรับทราบข้อมูลการเจรจาตกลงเป็นอย่างดี การที่ขายหุ้น บมจ.เอไอเอสอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ในขณะที่ต่อมาทางกลุ่มผู้ซื้อ ประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น บมจ.เอไอเอส ในราคาเพียงหุ้นละ 72.31 บาท[41]

หุ้นเอสซีแอสเซต

ใน พ.ศ. 2543 มีการขายหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอีก 5 แห่ง ให้บริษัท วินมาร์ค จำกัด (Win Mark Limited) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2546 บจก.วินมาร์ค โอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมด ให้กองทุนรวมแวลูอินเวสเมนท์ (Value Investment Mutual Fund Inc.) หรือวีไอเอฟ และวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2546 วีไอเอฟโอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมดให้กองทุนโอเวอร์ซีส์โกรวธ์ (Overseas Growth Fund Inc.) หรือโอจีเอฟ และกองทุนออฟชอร์ไดนามิค (Offshore Dynamic Fund Inc.) หรือโอดีเอฟ

วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2546 วีไอเอฟสละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ในราคาพาร์ให้บุตรสาวสองคนของพันตำรวจโททักษิณ ทั้งที่ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น มีวาระให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย เป็นเหตุให้วีไอเอฟต้องเสียผลประโยชน์ จากส่วนต่างของราคาหุ้น ต่อมาใน พ.ศ. 2547 บจก.วินมาร์คขายหุ้นบริษัทของครอบครัวชินวัตร 5 แห่ง ให้พิณทองทา ชินวัตร และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอื่นอีก 2 บริษัท รวมเป็นเงิน 18.8 ล้านดอลลาร์ โดย บจก.วินมาร์คไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสงสัยว่า บจก.วินมาร์ค วีไอเอฟ โอจีเอฟ และโอดีเอฟ อาจเป็นนิติบุคคลอำพรางการถือหุ้น (นอมินี) ของพันตำรวจโททักษิณและครอบครัว[42] อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าความเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตร กับความวุ่นวายของคดีความที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเอสซีแอสเสทหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ตอบว่า "90% ของลูกค้าที่เข้าชมโครงการ รับรู้อยู่แล้วว่าธุรกิจเราเป็นของใครตั้งแต่ทำมา เพิ่งมีลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ขอเงินคืน หลังจากที่รู้ว่าเราเป็นใคร เพราะไม่มั่นใจว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร"[43]

ยิ่งลักษณ์ยังถูกกล่าวหาว่า ช่วยพันตำรวจโททักษิณปกปิดทรัพย์สิน โดยยิ่งลักษณ์ได้รับหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น 0.68% จาก ทั้งหมด 46.87% ที่พันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมานมีอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2542[44] และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ระบุว่ายิ่งลักษณ์ทำธุรกรรมเท็จ โดยเธอกล่าวว่า "ครอบครัวของเธอตกเป็นเหยื่อทางการเมือง"

โดยภายหลังจากการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงโดยผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถสรุปได้ ดังนี้[45]

1. เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านโยบายบ้านหลังแรก ตามคำร้องเรียนนี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 1.8.4 แล้ว จึงเป็นกรณีร้องเรียนตามนัย มาตรา 28 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณาหรือให้ยุติการพิจารณา เว้นแต่การปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวจะมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ตามมาตรา 13 (1) หรือ (2) กรณีตามคำร้องเรียนนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้เป็นการกระทำที่เข้าลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 13 (1) หรือ (2) หรือไม่

2. ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบพบว่า กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการนำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติโดยเสนอมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและมีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติสำหรับกรณีดังกล่าวรวมถึงการกำหนดมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0726/ล.1462 ลงวันที่ 19 กันยายน 2554) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 ต่อมากระทรวงการคลังมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค 0701/16315 ลงวันที่ 22 กันยายน 2554 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการดำเนินการตามมติการประชุมไว้ก่อนเนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถครอบคลุมถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 กระทรวงการคลังมีหนังสือด่วนที่สุดที่ กค 0726/ล.1516 เสนอมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นครั้งที่ 2 โดยมีสาระสำคัญในประเด็นที่มีการร้องเรียนตามคำร้องเรียนนี้ กล่าวคือ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย จึงเห็นควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้น จึงเห็นว่าการกำหนดมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลตามคำร้องเรียนนี้ ที่กำหนดให้มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นการริเริ่มและเสนอโดยกระทรวงการคลังมาตั้งแต่ต้น

3. ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจะต้องมีระบบรายงานการดำเนินกิจการของบริษัทต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่าได้ลาออกจากตำแหน่งบริหารในบริษัทดังกล่าวแล้ว และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนั้น โดยสถานะทางกฎหมายแล้วนายกรัฐมนตรีและบริษัทฯ จึงไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกัน ประกอบกับเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงทางธุรกิจเกี่ยวกับส่วนแบ่งทางการตลาดที่บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ปรากฏว่า บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีโครงการที่อยู่ในข่ายจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว จำนวน 9 โครงการ จากทั้งหมด 38 โครงการ มีจำนวนยูนิตที่มีราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 409 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการเพียงร้อยละ 4.39 ของมูลค่าโครงการที่เปิดขายในปี 2554-2555 และคิดเป็นร้อยละ 0.16 ของจำนวนยูนิตบ้านจัดสรรและอาคารชุดที่ราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท ในครึ่งปี พ.ศ. 2554 (ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์)

นอกจากนี้ ในการขายขึ้นอยู่กับผู้บริโภคที่จะซื้อบ้านโดยสามารถตัดสินใจได้โดยอิสระว่าจะเลือกซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยในโครงการใดไม่อาจบังคับชักจูงให้ผู้ซื้อเลือกซื้อโครงการใดโครงการหนึ่งเป็นการเฉพาะได้ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นภาพรวม ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พบว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย บลจ. แอสเซทพลัส จำกัด มีสัดส่วนการถือหุ้นจำนวนร้อยละ 0.85 ของจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด

ดังนั้น จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการถือหุ้นดังกล่าวของผู้ถูกร้องเรียนเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้จำเป็นต้องพิจารณากฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นของรัฐมนตรีประกอบด้วย เมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันและความในมาตรา 3 ของพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับกรณีของนายกรัฐมนตรีด้วย โดยความนัยตามมาตรา 4 (2) บัญญัติว่ารัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้...(2) ในบริษัทจำกัดหรือมหาชนจำกัด รัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น

ดังนั้น จึงเห็นว่ากรณีการถือหุ้นของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังกล่าว ยังไม่เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกันว่า เมื่อข้อเท็จจริงจึงยังไม่อาจสรุปได้ว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา[46]

กรณีโรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพ

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ย่านราชดำริ ในระหว่างที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและประชาชนกลุ่มหนึ่ง นำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง[47] จนก่อให้เกิดการยืนประท้วงกลางที่ประชุมสภาฯ ทำให้ต้องปิดการประชุมสภาฯ ในวันนั้นทันที[48] นอกจากนี้ ยังมีการวิจารณ์ในเชิงดูถูกทางเพศ โดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง[49]

โดยภายหลังที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงโดยยังไม่ถือว่านายกรัฐมนตรีขาดประชุมตามระเบียบว่าด้วยการลาการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 จึงยังมิอาจถือได้ว่ามีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 การประชุมในวันดังกล่าวในช่วงแรก ๆ ของการประชุมยังไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องชี้แจงต่อที่ประชุม และเมื่อมีงานในความรับผิดชอบที่ต้องเร่งรัด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงมิได้อยู่ร่วมในห้องประชุมสภาในช่วงต้น แต่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงเดินทางกลับเพื่อร่วมรับฟังโดยทั้งได้ลงชื่อการประชุมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[49]

กรณีร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องในทางชู้สาว ผู้ตรวจการฯ เห็นว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่เปิดเผยและมีผู้ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีหลายคน ประกอบกับไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่ามีการกระทำส่อไปในทางชู้สาว จึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา[49]

ความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณชน

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและประชาชนกลุ่มหนึ่ง ในเรื่องการใช้คำในภาษาไทยและภาษาอังกฤษอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องการใช้คำผิด เช่นหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก หรือการอ่านคำว่าคอนกรีต ผิดเป็น คอ-นก-รีต รวมไปถึงการให้คำนิยามของสถานที่ผิด อย่างอำเภอหาดใหญ่เป็นจังหวัดหาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ภาษาอังกฤษผิดพลาด ในขณะต้อนรับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ และการเยือนต่างประเทศหลายครั้ง[ต้องการอ้างอิง][50] การพูดผิดต่อหน้าสาธารณชนของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ระหว่างรับเชิญในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” โดยเรียกตำแหน่งผู้นำประเทศมาเลเซียว่าประธานาธิบดี ทั้งที่ตำแหน่งผู้นำของมาเลเซียคือนายกรัฐมนตรี[51] ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ยังพบว่ามีการกล่าวค่าประจำหลักตัวเลขผิดพลาด โดยจำนวนตัวเลขดังกล่าวคือ 53,918 ล้านบาท หรือห้าหมื่นสามพันเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท เธอกลับกล่าวว่า ห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท[52]

ในระหว่างพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยืนก้มหน้าและใช้มือกดโทรศัพท์มือถือ จนเป็นที่วิจารณ์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและประชาชนกลุ่มหนึ่ง ถึงความไม่เหมาะสมระหว่างรอเข้าสู่พิธีการสำคัญ[53] โดยพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพันตำรวจโททักษิณ หลานชายนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชี้แจงแทนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่า เธอกำลังปิดโทรศัพท์ก่อนเริ่มพิธี เนื่องจากในภาพ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยืนอยู่หลังผู้บัญชาการเหล่าทัพ แต่ตามตำแหน่งริ้วขบวนในพิธี เธอจะต้องยืนอยู่หน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพ[54]

เกียรติยศ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

รางวัลและการยกย่อง

ภายในประเทศไทย

ภายนอกประเทศไทย

อ้างอิง

  1. ^ นายกรัฐมนตรีไทย (พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน) - สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  2. ^ "Yingluck, Pheu Thai win in a landslide", 3 July 2011
  3. ^ CNN, [Talking politics with Thailand's PM http://edition.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/12/17/ta.abhisit/index.html], 18 December 2008
  4. ^ ประวัตินายกรัฐมนตรีคนที่ 28 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเว็บไซต์รัฐบาลไทย
  5. ^ จากกรุงเทพธุรกิจ
  6. ^ เบื้องลึก ‘ตระกูลชินวัตร’ ผู้สร้างนายกรัฐมนตรีไทยถึง 3 คน
  7. ^ สุขสันต์วันแม่กับคำถาม ลูกชายของ "นายกฯปู" มีชื่อเล่นว่า "ไปค์" หรือ "ไปป์" ?. มติชน. (12 สิงหาคม 2554). สืบค้น 12-8-2554.
  8. ^ ชีวประวัติจาก BLOOMBERG Business Week
  9. ^ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการต่างประเทศ
  10. ^ ก๊ก"มิ่งขวัญ"ขวาง"ยิ่งลักษณ์"นั่งหัวหน้า พท. อ้าง"ผู้จัดการอำนาจ"ไม่ปลื้มนามสกุล"ชินวัตร". มติชน. (6 มกราคม 2554). สืบค้น 25-5-2554.
  11. ^ AP, US envoy in 2009 forecast rise of Thaksin's sister, 14 June 2011
  12. ^ "Yingluck rules out taking Puea Thai helm", Bangkok Post, 28 January 2011, http://www.bangkokpost.com/news/politics/218585/yingluck-rules-out-taking-puea-thai-helm 
  13. ^ มติเพื่อไทยเอกฉันท์ส่ง "ยิ่งลักษณ์" ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์1, มติชน
  14. ^ "Yingluck takes centre stage", Bangkok Post, 17 May 2011, http://www.bangkokpost.com/news/politics/237363/yingluck-takes-centre-stage 
  15. ^ มอบ “เฉลิม” ดูเรื่องนิรโทษกรรม ,22 พฤษภาคม 2554 คมชัดลึก หน้า 13,กรุงเทพ,“Chalerm” to look over Amnesty
  16. ^ “พันตำรวจโททักษิณ” ต้องได้รับความยุติธรรม, 22 พฤษภาคม 2554, คมชัดลึก หน้า 13
  17. ^ Straits Times, Yingluck: We'll reconcile, 3 July 2011
  18. ^ Bangkok Post, One year on, truth about crackdown remains elusive, 21 April 2011
  19. ^ Xin Hua, Profile: Yingluck Shinawatra, 4 July 2011
  20. ^ Straits Times, Abhisit: It's us or chaos, 3 July 2011
  21. ^ Daily News, ยิ่งลักษณ์เปิดวิสัยทัศน์ 2020 คนไทยหายจน, 2 June 2011
  22. ^ Bangkok Post, “Credit cards for farmers and more”, 27 May 27 2011
  23. ^ Yingluck Shinawatra, วิเคราะห์ โครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน (One Tablet PC Per Child) ของพรรคเพื่อไทย, Thursday, June 30, 2011 at 5:46pm
  24. ^ Abhisit concedes Democrats are behind Puea Thai, Asian Correspondent, 16 June 2011, http://asiancorrespondent.com/57508/abhisit-concedes-the-democrats-are-behind-puea-thai 
  25. ^ "Yingluck Shinawatra opposition leads Thai exit polls", BBC News, 3 July 2011. สืบค้นวันที่ 5 July 2011
  26. ^ Jagran Post, Yingluck to lead Thailand coalition; military accepts poll verdict, 5 July 2011
  27. ^ Bangkok Post, Gen Prawit: Army accepts election, 4 July 2011
  28. ^ Matichon, [1], 4 July 2011
  29. ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี [นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร], เล่ม ๑๒๘, ตอน พิเศษ ๘๗ ง, ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑
  30. ^ มติชนออนไลน์, โปรดเกล้าฯ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯแล้ว เจ้าตัวลั่นเป็นเกียรติยศอันสูงสุด จะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง, 8 สิงหาคม 2554
  31. ^ "New cabinet set up.", Thairath, 9 Aug 2011, http://www.thairath.co.th/content/pol/192805, เรียกข้อมูลเมื่อ 9 Aug 2011 
  32. ^ CNN, World Business Times, 21 October 2011
  33. ^ Bangkok Post, "North, Northeast inundated by effects of Nock-ten", 1 August 2011
  34. ^ Bangkok Post, "Yingluck to visit flooded provinces", 12 August 2011
  35. ^ Bangkok Post, "Death toll in ravaged provinces climbs to 37", 22 August 2011
  36. ^ The Nation, "La Nina to raise risk of flooding", 23 August 2011
  37. ^ The Nation, "Military wants PM to declare state of emergency in capital The Nation", 15 October 2011
  38. ^ The Nation, Disaster warning issued for Bangkok, 21 October 2011
  39. ^ ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ และ ปราณีย์ คชพร, 2554, หน้า 13
  40. ^ ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ และ ปราณีย์ คชพร, 2554, หน้า 83
  41. ^ กว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะงัวเงียตื่นก็ 11.37 น. ของ 23 มกราคม, [2], 27 January 2006
  42. ^ 2550 "เอสซี แอสเสท" องค์กรซ่อนเงิน โดยชินวัตร ดามาพงศ์. สยามธุรกิจ. เข้าถึงได้จาก : http://www.siamturakij.com/home/news/print_news.php?news_id=4316. เรียกข้อมูลวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554.
  43. ^ ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ และ ปราณีย์ คชพร, 2554, หน้า 101
  44. ^ "Special Report: Thaksin´s 76 bn THB asset seizure case", 10 February 2010
  45. ^ ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยกรณี"โฟร์ซีซั่น"ของ"ยิ่งลักษณ์"ไม่ผิดจริยธรรม. มติชน. เข้าถึงได้จาก : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1342149923&grpid=00&catid=&subcatid= เรียกข้อมูลวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
  46. ^ ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยกรณี"โฟร์ซีซั่น"ของ"ยิ่งลักษณ์"ไม่ผิดจริยธรรม. มติชน. เข้าถึงได้จาก : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1342149923&grpid=00&catid=&subcatid= เรียกข้อมูลวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
  47. ^ ผู้จัดการออนไลน์, เรื่องลับๆ ล่อๆ ที่ชั้น 7 โฟร์ซีซันส์ ก้าวย่างพลาดพลั้ง “ยิ่งลักษณ์”
  48. ^ ผู้จัดการออนไลน์, “ศิริโชค” ปัดเสียดสี “ปู” ยันเปรียบโฟร์ซีซั่นส์พื้นที่รับน้ำ เกรงผลประโยชน์ทับซ้อน
  49. ^ 49.0 49.1 49.2 มติชน, หมวดเจี๊ยบ ตอก ปชป. พูด 2 แง่ 2 ง่ามกรณีโฟร์ซีซั่นส์ ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงของยิ่งลักษณ์
  50. ^ เปลวสีเงิน, 'อันคนเขลาหมกอยู่-ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่', หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
  51. ^ ‘ปู’ภาวะผู้นำดิ่งเหว กลวง!เรียกประธานาธิบดีมาเลเซีย/นักวิชาการแนะหาความรู้
  52. ^ ปู นอกจากตกภาษาไทย ยังตกเลข จาก53,918ล้านบาทอ่านเป็นห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท
  53. ^ ภาพยิ่งลักษณ์ โดยวิจารณ์เละ กดโทรศัพท์ ในริ้วขบวนงานพระศพ ว่อนเน็ต!
  54. ^ โอ๊คแจง นายกฯปู"ปิดโทรศัพท์"ก่อนเข้าพิธี
  55. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย [ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการและเลขานุเการฯ ประจำสภาผู้แทนราษฎร], เล่ม ๑๒๑, ตอน ๒๓ ข เล่มที่ ๐๐๒ ฉบับทะเบียนฐานันดร, ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗, หน้า ๒๖ ลาดับ ๑๓๒
  56. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย (รายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่ำกว่าสายสะพาย ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑), เล่ม ๑๒๕, ตอน ๑๗ ข เล่มที่ ๐๐๒, ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑, หน้า ๑๑ ลำดับ ๘๖
  57. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประจำปี ๒๕๕๔, เล่ม ๑๒๘, ตอน ๒๒ ข , ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑
  58. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์กรณีพิเศษ [นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร], เล่ม ๑๒๙, ตอน ๑๐ ข , ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕, หน้า ๑
  59. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์กรณีพิเศษ [นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร], เล่ม ๑๒๙, ตอน ๑๒ ข , ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕, หน้า ๑
  60. ^ [3]
  61. ^ [www.chiangmainews.co.th/page/?p=71356 นายกฯ ขึ้นรับรางวัล มงกุฎเพชรยุพราช]
  62. ^ World's 100 Most Powerful Women
  63. ^ Top 12 Female Leaders Around The world
  64. ^ Newsweek and The Daily Beast Honor 150 Extraordinary Women

บรรณานุกรม

  • ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ และ ปราณีย์ คชพร (2554). บริหารคนบริหารงานสไตล์ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร. ปราชญ์ สำนักพิมพ์. ISBN 9786162520129. 

แหล่งข้อมูลอื่น

สมัยก่อนหน้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมัยถัดไป
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 2leftarrow.png Seal Prime Minister of Thailand.png
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ครม.60)
(5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 – ปัจจุบัน)
2rightarrow.png ยังอยู่ในตำแหน่ง


เครื่องมือส่วนตัว

สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ
ป้ายบอกทาง
มีส่วนร่วม
พิมพ์/ส่งออก
เครื่องมือ
ภาษาอื่น