ประวัติศาสตร์โลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์โลก หรือ ประวัติศาสตร์มนุษย์ เป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน ในทุกที่บนโลก เริ่มตั้งแต่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกครอบคลุมการศึกษาบันทึกลายลักษณ์อักษร นับแต่ยุคโบราณเป็นต้นมา เสริมกับความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากแหล่งข้อมูลอื่น เช่น โบราณคดี ประวัติศาสตร์โบราณที่มีการบันทึกเริ่มต้นด้วยการประดิษฐ์การเขียน โดยอิสระที่แหล่งต่างๆ บนโลก ซึ่งสร้างระบบพื้นฐานสำหรับการส่งผ่านความทรงจำที่คงทนและแม่นยำ และดังนั้น เพื่อการแพร่กระจายและการเติบโตของความรู้[1][2] อย่างไรก็ดี รากเหง้าของอารยธรรมย้อนกลับไปยังยุคก่อนการเขียน คือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ภายหลัง ระหว่างยุคหินใหม่ การปฏิวัติเกษตรกรรม (ระหว่าง 8000 และ 5000 ปีก่อน ค.ศ.) ในดินแดนวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ ที่ซึ่งมนุษย์เริ่มการกสิกรพืชและสัตว์อย่างเป็นระบบครั้งแรก[3][4][5] เกษตรกรรมได้แพร่ไปยังภูมิภาคใกล้เคียงและพัฒนาอย่างเป็นอิสระที่อื่น กระทั่งมนุษย์ส่วนมากอยู่อาศัยเป็นชาวนาในถิ่นฐานถาวร[6] ความมั่นคงสัมพันธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนแผ่ขยาย ชุมชนต่างๆ เติบโตขึ้นเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับวิวัฒนาการของวิธีการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เคย

อาหารส่วนเกินเปิดทางให้เกิดการแบ่งงาน การเพิ่มขึ้นของชนชั้นสูงที่อยู่สุขสบาย และพัฒนาการของนครและอารยธรรมไปด้วยกัน ความซับซ้อนเพิ่มขึ้นของสังคมมนุษย์ทำให้ระบบการบัญชีจำเป็น ซึ่งนำไปสู่การเขียน[7]

อารยธรรมต่างๆ พัฒนาบนฝั่งแหล่งน้ำจืดที่ค้ำจุนชีวิต (ทะเลสาบและแม่น้ำ) เมื่อถึง 3000 ปีก่อน ค.ศ. อารยธรรมก็ได้เกิดขึ้นในเมโสโปเตเมีย ("ดินแดนระหว่างแม่น้ำ" ยูเฟรตีสและไทกรีส) ของตะวันออกกลาง ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ และในหุบแม่น้ำสินธุ อารยธรรมที่คล้ายกันอาจพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีแก่การก่อสร้างเมืองอย่างกว้างขวางมีความชัดเจนน้อยกว่า

ประวัติศาสตร์ของโลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรป แต่ยังรวมถึงตะวันออกใกล้และแอฟริกาเหนือ) โดยทั่วไปแบ่งเป็นยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476, ยุคกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 รวมทั้งยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรปตอนต้น, ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 รวมทั้งยุคภูมิธรรม และยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

ในยุโรป (และในประวัติศาสตร์ตะวันตก) การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (ค.ศ. 476) ถือกันโดยทั่วไปว่าเป็นสัญญาณการสิ้นสุดของยุคเก่าและการเริ่มต้นของยุคกลาง ซึ่งระหว่างนั้น (ราว ค.ศ. 1300) ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาของยุโรปได้เกิดขึ้น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์การพิมพ์สมัยใหม่ของโยฮันน์ กูเทนแบร์ก[8] ซึ่งใช้การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่ยุคใหม่และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์[9] จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) กระทั่งนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม[10]

ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้[11][12]

เนื้อหา

[แก้] ยุคก่อนประวัติศาสตร์

ดูบทความหลักที่ ยุคก่อนประวัติศาสตร์

มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันเริ่มปรากฏครั้งแรกบนโลกในช่วง 400,000 ถึง 250,000 ปีทีผ่านมา ระหว่างยุคหินเก่า หลังจากวิวัฒนาการยาวนานของมนุษย์ ทักษะการประดิษฐ์เครื่องมือของมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่มนุษย์ยุคก่อนอย่างโฮโม อิเล็กตัสแล้ว มนุษย์ยังรู้จักใช้ไฟในการให้ความร้อน และปรุงอาหาร นอกจากนั้นแล้วมนุษย์ยุคปัจจุบันยังได้พัฒนาภาษา และยังมีพิธีกรรมหลังความตาย และเริ่มดำรงชีวิตด้วยการไล่ล่า-หาเก็บและเป็นสังคมเร่ร่อน

มนุษย์ในยุคปัจจุบันหรือโฮโมซาเปียนส์เริ่มกระจายตัวจากแอฟริกา ไปยังบริเวณยุโรปและเอเชียซึ่งยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุมอย่างรวดเร็ว และขยายถิ่นฐานไปยังอเมริกาเหนือและโอเชียเนีย ในช่วงที่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดกำลังเข้าสู่ช่วงสูงสุด เมื่ออุณหภูมิของอาณาเขตระหว่างซีกโลกร้อนกับขั้วโลก (Temperate Zone) เริ่มลดต่ำลงจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ มนุษย์จึงหยุดขยายตัวไปทางเหนือและใต้ แต่เน้นกระจายในอาณาเขตที่ไม่มีน้ำแข็งจนครอบคลุมโลกทั้งใบในช่วง 12,000 ปีที่แล้ว

การปฏิวัติเกษตรกรรมเริ่มขึ้นครั้งแรกในราวๆ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล การทำเกษตรกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดระบบการจัดการ และสร้างอาหารส่วนเกิน (surplus) จากการบริโภคทำให้เกิดการค้าขายได้ การเกษตรสร้างระบบเมืองในยุคแรก ทำให้เกิดการค้าขาย การผลิต และอำนาจทางการเมือง สำหรับผู้ไม่ได้ผลิตในภาคการเกษตร [13][14] [15]

การพัฒนาระบบเมืองยังทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านภาษา และความรุ่งเรืองของอารยธรรมตามมา ดังจะเห็นได้จากในช่วง 40,000 ปีก่อนคริสตกาลก่อนจะมีเมืองเกิดขึ้น มีหลักฐานการสร้างที่อยู่อาศัยที่มนุษย์สร้างขึ้นในตอนเหนือของแคว้นปัญจาบ และเอเชียกลาง (Bactria) ในช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาล มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มปลูกข้าวบาร์เลย์ และเลี้ยงแกะกับแพะ ในบริเวณดังกล่าว ในช่วงนั้น คนเริ่มอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งสร้างโดยอิฐและดินเหนียว ซึ่งบางส่วนยังคงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน แหล่งอารยธรรมแรกเป็นแหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียตอนล่างของชาวสุเมเรียน ในช่วง 3500 ปีก่อนคริสตกาล[16][17] ตามมาด้วยอารยธรรมอียิปต์ บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ในช่วง 3300 ปีก่อนคริสตกาลและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในช่วงเดียวกัน [18][19] ระบบเมืองเริ่มซับซ้อนมากขึ้นจากระบบทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ละอารยธรรมมีความแตกต่างจากอารยธรรมอื่นเนื่องจากอารยธรรมต่างๆ ยังไม่สัมพันธ์กัน เริ่มมีระบบการเขียน และการค้าขาย

ความเชื่อทางศาสนาในช่วงนี้ให้ความเคารพในโลก ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์[20] และการเปรียบปรากฏการณ์หรือสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ ให้เป็นเทพเจ้า หรือเปรียบเหมือนมนุษย์ มีการสร้างปูชนียสถานไว้เคารพสักการะ นำไปสู่การสร้างเทวสถาน และระบบนักบวช ในที่สุด

[แก้] ยุคโบราณ

ดูบทความหลักที่ ยุคโบราณ

[แก้] การบ่มเพาะของอารยธรรม

ดูบทความหลักที่ ยุคสำริด และ ยุคเหล็ก

ยุคสำริดเป็นหนึ่งยุคตามการแบ่งระบบสามยุค ซึ่งได้แก่ ยุคหิน ยุคสำริด และยุคเหล็ก ซึ่งอธิบายประวัติศาสตร์ยุคต้นของอรรยาธรรมในบางส่วนของโลกได้เป็นอย่างดี เราจะเริ่มเห็นระบบเมือง และการเติบโตของอารยธรรมของบริเวณพื้นที่อุดมสมบูรณ์ในยุคเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ เช่นลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติสในเมโสโปเตเมีย ลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ในอินเดีย และลุ่มแม่น้ำฮวงโหในจีน

เราเริ่มเห็นความรุ่งเรืองของเมโสโปเตเมียในช่วงสังคมของชาวสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนมีระบบการเขียนโดยใช้อักษรคูนิฟอร์ม ซึ่งเป็นอักษรภาพที่มีลักษณะคล้ายลิ่มราวๆ 3000 ปีก่อนคริสตกาล และตัวอักษรก็ค่อยถูกพัฒนาให้เรียบง่ายและเป็นนามธรรมมากขึ้น การเขียนอักษรคูนิฟอร์มนั้นต้องเขียนในแผ่นดินเหนียวด้วยต้นกก การเขียนช่วยในการบริหารเมืองที่ใหญ่ขึ้นได้ง่ายขึ้นมาก และในยุคนี้ยังได้เห็นพัฒนาการทางด้านการทหารเช่นรถม้าและทหารม้า ทำให้เคลื่อนพลได้เร็วขึ้น

การพัฒนาเหล่านี้นำไปสู่การสร้างจักรวรรดิ โดยจักรวรรดิแรกที่ควบคุมดินแดนขนาดใหญ่และประกอบไปด้วยหลายเมืองเกิดขึ้นในอียิปต์ด้วยการรวมกันของอียิปต์ตอนล่างและตอนบนในช่วง 3100 ปีก่อนคริสตกาล ในอีกพันปีต่อมาก็เกิดจักรวรรดิอาคาเดียนในเมโสโปเตเมียก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น[21] พร้อมๆ กับการสถาปนาราชวงศ์เซี่ยของจีนในช่วง 2200 ปีก่อนคริสตกาล

[แก้] เส้นเวลา

เวลาที่ปรากฏดังกล่าวเป็นการประมาณเท่านั้น รายละเอียดสามารถตรวจสอบได้ในบทความเฉพาะด้านต่างๆ

[แก้] ยุคแกนหลักความคิด (Axial Age)

ดูบทความหลักที่ ยุคแกนหลักความคิด
นครวัดในกัมพูชาสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาลมีการพัฒนาแนวคิดทางศาสนาและปรัชญาครั้งใหญ่ในหลายๆ แหล่งอารยธรรมอย่าง ลัทธิขงจื้อในจีน ศาสนาพุทธและเชนในอินเดีย ศาสนาโซโรอัสเตอร์ในเปอร์เซีย ศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนายิวในอียิปต์โบราณ และในช่วงคริตศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โสเครตีส และ เพลโตก็ได้วางรากฐานของปรัชญากรีกโบราณ

ทางด้านจีนเองก็ได้รับอิทธิพลการคิดมาจากสามสำนักสำคัญจนถึงปัจจุบันได้แก่ ลัทธิเต๋า,[22] ลัทธิกฎหมาย[23] และ ลัทธิขงจื้อ.[24]ซึ่งแพร่หลายไปยังทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น

ทางด้านยุโรปเองได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญากรีกโบราณอย่าง โสเครตีส[25] เพลโต,[26] และอริสโตเติล,[27][28] ซึ่งแพร่หลายไปยังทั่วทั้งยุโรปและตะวันออกกลางในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลจากการพิชิตดินแดนของอเล็กซานเดอร์มหาราช[29][30][31]

[แก้] ยุคจักรวรรดิ

วิหารพาร์เธนอนแสดงถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณ

ช่วงพันปีระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 500 เกิดจักรวรรดิที่กว้างใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน กองทัพที่ถูกฝึกมาอย่างดี อุดมการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และการปกครองที่เป็นระบบทำให้จักรพรรดิสามารถปกครองประชากรภายใต้อาณัติถึงหลายสิบล้านคน

ประวัติศาสตร์โลกช่วงนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีก้าวหน้าค่อนข้างช้าแต่มั่นคง พัฒนาการครั้งสำคัญอย่างโกลนและคันไถจะเกิดขึ้นทุุกๆ สองสามศตวรรษ อย่างไรก็ตามในบางภูมิภาคกลับมีช่วงพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมากเช่นแถบเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงเฮเลนิกมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจำนวนมาก [32] [33] [34] ช่วงพัฒนาดังกล่าวตามมาด้วยช่วงการถดถอยทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันและช่วงยุคกลางตอนต้นที่ตามมา

อำนาจของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เกิดจากการผนวกดินแดนโดยใช้กำลังทหารและการตั้งถิ่นฐานเพื่อปกป้องศูนย์กลางทางการเกษตร[35] สันติภาพชั่วคราวที่เกิดจากระบบจักรวรรดิก่อให้เกิดเส้นทางการค้าขายระหว่างประเทศ เส้นทางที่โดดเด่นที่สุดได้แก่เส้นทางการค้าหลายสายในแถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเกิดในยุคเฮเลนิสติกและเส้นทางสายไหม

แผนที่โลกของทอเลมี สร้างขึ้นตามหนังสือ Geographia

จักรวรรดิทุกแห่งต่างเผชิญกับปัญหาเดียวกันคือการจัดการกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสร้างการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ความยุ่งยากในการปกครองประชากรทั้งหมดทำให้เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เริ่มมีอำนาจมากขึ้นและท้าทายระบบการรวมศูนย์อำนาจ การโจมตีจากชนเผ่าอนารยชนต่างๆ ตามขอบชายแดนทำให้การปกครองส่วนกลางเริ่มระส่ำระสาย เกิดสงครามกลางเมืองในจักรวรรดิฮั่นของจีนในคริสตศตวรรษที่ 220 ในขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งขั้วและแยกศูนย์อำนาจขึ้นในจักรวรรดิโรมัน

ในโลกตะวันตก ชาวกรีกได้สร้างอารยธรรมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน จนหลายศตวรรษต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวโรมันเริ่มขยายเขตแดนด้วยการใช้กำลังทหารและการล่าอาณานิคม ในยุคสมัยจักรพรรดิออกัสตัส(ปลายศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) โรมยึดครองอาณาเขตทั้งหมดรอบเมดิเตอเรเนียน ในยุคสมัยจักรพรรดิทราจัน(ต้นคริสตศตวรรษที่ 2) โรมยึดครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของอังกฤษและเมโสโปเตเมีย

ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล อาณาเขตส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ถูกรวบรวมเป็นจักรวรรดิโมริยะโดยพระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ และรุ่งเรืองที่สุดในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช คริสตวรรษที่ 3 จักรวรรดิคุปตะเข้าครอบครองอาณาเขตนี้และเข้าสู่ยุคทองของอายธรรมอินเดียโบราณ มีราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาครองครองเอเชียใต้จำนวนมากทั้งจาลุกยะ ราษฏรกูฏ ฮอยซาลา และวิชัยนคร ท่ามกลางความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม และปรัชญาซึ่งอุปถัมภ์โดยกษัตริย์องค์ต่างๆ

ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์ฮั่นได้ยึดครองเอเชียตะวันออกเป็นจักรวรรดิจีนที่เก่าแก่ ราชวงศ์ฮั่นได้รับยกย่องว่าเป็นโรมตะวันออก (Rome of China) ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นทางสายไหม ในขณะที่แสนยานุภาพทางทหารของโรมันแทบไม่สามารถเอาชนะได้ จีนฮั่นได้พัฒนาการทำแผนที่ การต่อเรือ และการเดินเรือ โลกตะวันออกได้สร้างเตาหลอมโลหะ ทำให้สามารถผลิตเครื่องมือจากทองแดงที่สามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียด เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ในยุคโบราณ จีนฮั่นพัฒนาระบบการปกครอง การศึกษา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด

มาชูปิกชู สัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอินคา

อารยธรรมอเมริกาเริ่มต้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาลในแถบเมโสอเมริกา [36] เกิดสังคมก่อนยุคโคลัมเบียนอย่างแหล่งอารยธรรมมายาและจักรวรรดิแอซเท็ก หลังจากการล่มสลายของวัฒนธรรมเริ่มต้นอย่าง วัฒนธรรมโอเมก [37] อารยธรรมมายาเริ่มขยายตัวในแถบยูกาตัง และจักรวรรดิแอซเท็ก ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมข้างเคียง และกวาดต้อนเอาชนเผ่าต่างๆ เช่น ชนเผ่าทอลเต็ก

ในอเมริกาใต้ คริสตวรรษที่ 14 และ 15 มีการขยายตัวของจักรวรรดิอินคา จักรวรรดิอินคาแห่งตาวันตินซูยู ได้ตั้งเมืองกุสโกเป็นเมืองหลวง และขยายตัวไปตามเทือกเขาแอนดีส เป็นแหล่งอารยธรรมวงกว้างที่สุดอันหนึ่งก่อนยุคโคลัมเบียน[38][39] จักรวรรดิอินคามีความรุ่งเรืองและทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบถนนของชาวอินคาและการก่ออิฐอย่างไม่มีใครเทียบได้

[แก้] การล่มสลายของจักรวรรดิ

จักรวรรดิในแถบยูเรเชียส่วนใหญ่ตั้งอยู่แถบที่ราบชายฝั่งทะเล ดังนั้นชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งใช้ม้าเป็นพาหนะหลัก เช่นพวกมองโกลและพวกเติร์ก จึงเริ่มยึดครองพื้นที่โดยเริ่มจากแถบเอเชียกลาง ประกอบกับการประดิษฐ์โกลนและการเพาะเลี้ยงม้าให้แข็งแรง ทำให้ม้าสามารถรับน้ำหนักกำลังพลพร้อมชุดเกราะได้ และทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนกลายเป็นภัยคุกคามต่อแหล่งอารยธรรมในระยะยาว

การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอย่างช้าๆ [40][41] กินเวลายาวนานจากคริสตศตวรรษที่ 2 ไปอีกหลายศตวรรษ ประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศาสนาคริสต์จากดินแดนตะวันออกกลางสู่ดินแดนตะวันตก ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกตกอยู่ภายใต้การนำของอนารยชนชาวเยอรมันในคริตศตวรรษที่ 5 ในที่สุด[42] องค์กรทางการเมืองต่างแตกกระจายเป็นรัฐจำนวนมาก ซึ่งต่างก็มีความสัมพันธ์กับคริสตจักรโรมันคาทอลิกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จักรวรรดิโรมันบางส่วนบริเวณเมดิเตอเรเนียนตะวันออกแตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์[43] อีกหลายศตวรรษต่อมามีการสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปีค.ศ. 962 ทำให้ยุโรปตะวันตกกลับมารวมตัวกันได้อย่างชั่วคราว[44] ซึ่งกินบริเวณประเทศเยอรมนี ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม อิตาลี และฝรั่งเศสบางส่วนในปัจจุบัน

ในจักรวรรดิจีน ราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมาปกครองดินแดนแถบนี้ [45][46] หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก[47] และสิ้นสุดลงของยุคสามก๊ก ชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือเริ่มคุกคามจีนในช่วงคริสศตวรรษที่ 4 ยึดจีนตอนเหนือบางส่วนและสร้างเป็นอาณาจักรเล็กๆ หลายอาณาจักร ราชวงศ์สุยรวมจีนขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 581 และภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถัง (618-907) จักรวรรดิจีนก้าวเข้าสู่ยุคทองเป็นครั้งที่สอง แต่ราชวงศ์ถังก็ล่มสลายนำไปสู่ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร ราชวงศ์ซ่งก็รวมจีนอีกครั้งในปี 982 แต่โดยแรงกดดันจากชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือ ตอนเหนือของจีนจึงตกเป็นของชนเผ่าแมนจูในปี 1141 และจักรวรรดิมองโกลเข้าครองครองประเทศจีนทั้งประเทศในปี 1279 รวมผืนแผ่นดินยูเรเชียเกือบทั้งหมด ยกเว้นก็แต่ยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ส่วนใหญ่ และเกาะญี่ปุ่น

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ According to David Diringer ("Writing", Encyclopedia Americana, 1986 ed., vol. 29, p. 558), "Writing gives permanence to men's knowledge and enables them to communicate over great distances.... The complex society of a higher civilization would be impossible without the art of writing."
  2. ^ Webster, H. (1921). World history. Boston: D.C. Heath. Page 27.
  3. ^ Tudge, Colin (1998). Neanderthals, Bandits and Farmers: How Agriculture Really Began. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 0-297-84258-7. 
  4. ^ Bellwood, Peter. (2004). First Farmers: The Origins of Agricultural Societies, Blackwell Publishers. ISBN 0-631-20566-7
  5. ^ Cohen, Mark Nathan (1977) The Food Crisis in Prehistory: Overpopulation and the Origins of Agriculture, New Haven and London: Yale University Press. ISBN 0-300-02016-3.
  6. ^ Not all societies abandoned nomadism, especially those in isolated regions that were poor in domesticable plant species. See Jared Diamond, Guns, Germs and Steel.
  7. ^ Schmandt-Besserat, Denise (January–February 2002). "Signs of Life". Archaeology Odyssey (ฉบับที่): 6–7, 63. https://webspace.utexas.edu/dsbay/Docs/SignsofLife.pdf. 
  8. ^ "What Did Gutenberg Invent?". BBC. http://www.open2.net/historyandthearts/discover_science/gberg_synopsis.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-05-20. 
  9. ^ Grant, Edward. The Foundations of Modern Science in the Middle Ages: Their Religious, Institutional, and Intellectual Contexts. Cambridge: Cambridge Univ. Pr., 1996.
  10. ^ ดูเพิ่มใน Charles. Understanding the Industrial Revolution (2000) online edition
  11. ^ Reuters – The State of the World The story of the 21st century
  12. ^ "Scientific American Magazine (September 2005 Issue) The Climax of Humanity". Sciam.com. 2005-08-22. http://www.sciam.com/article.cfm?chanID=sa006&articleID=00031010-F7DA-1304-B72683414B7F0000. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  13. ^ Stearns, Peter N.; William L. Langer (2001-09-24). The Encyclopedia of World History: Ancient, Medieval, and Modern, Chronologically Arranged. Houghton Mifflin Company. ISBN 0-395-65237-5. 
  14. ^ Chandler, T. Four Thousand Years of Urban Growth: An Historical Census. Lewiston, NY: Edwin Mellen Press, 1987.
  15. ^ Modelski, G. World Cities: –3000 to 2000. Washington, DC: FAROS 2000, 2003.
  16. ^ Ascalone, Enrico. Mesopotamia: Assyrians, Sumerians, Babylonians (Dictionaries of Civilizations; 1) . Berkeley: University of California Press, 2007 (paperback, ISBN 0-520-25266-7).
  17. ^ Lloyd, Seton. The Archaeology of Mesopotamia: From the Old Stone Age to the Persian Conquest.
  18. ^ Allchin, Bridget (1997). Origins of a Civilization: The Prehistory and Early Archaeology of South Asia. New York: Viking.
  19. ^ Allchin, Raymond (ed.) (1995). The Archaeology of Early Historic South Asia: The Emergence of Cities and States. New York: Cambridge University Press.
  20. ^ Turner, Patricia, and Charles Russell Coulter,Dictionary of Ancient Deities, New York, Oxford University Press, 2001.
  21. ^ Wells, H. G. (1921), 'The Outline of History: Being A Plain History of Life and Mankind', New York, Macmillan Company, p. 137.
  22. ^ Miller, James. Daoism: A Short Introduction (Oxford: Oneworld Publications, 2003). ISBN 1-85168-315-1
  23. ^ "Chinese Legalism: Documentary Materials and Ancient Totalitarianism". Worldfuturefund.org. http://www.worldfuturefund.org/wffmaster/Reading/China/China%20Legalism.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  24. ^ "Confucianism and Confucian texts". Comparative-religion.com. http://www.comparative-religion.com/confucianism/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  25. ^ "Socrates". 1911 Encyclopaedia Britannica. 1911. http://www.1911encyclopedia.org/Socrates_%28philosopher%29. 
  26. ^ Stanford Encyclopedia of Philosophy: Plato
  27. ^ "The Catholic Encyclopedia". Newadvent.org. 1907-03-01. http://www.newadvent.org/cathen/01713a.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  28. ^ "The Internet Encyclopedia of Philosophy". Utm.edu. http://www.utm.edu/research/iep/a/aristotl.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  29. ^ PDF: A Bibliography of Alexander the Great by Waldemar Heckel
  30. ^ Alexander III the Great, entry in historical sourcebook by Mahlon H. Smith
  31. ^ "Trace Alexander's conquests on an animated map". Ac.wwu.edu. Archived from the original on June 15, 2008. http://web.archive.org/web/20080615021840/http://www.ac.wwu.edu/~stephan/Animation/alexander.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  32. ^ Camp, J. M., & Dinsmoor, W. B. (1984). Ancient Athenian building methods. Excavations of the Athenian Agora, no. 21. [Athens]: American School of Classical Studies at Athens.
  33. ^ Drachmann, A. G. (1963). The mechanical technology of Greek and Roman antiquity, a study of the literary sources. Copenhagen: Munksgaard.
  34. ^ Oleson, J. P. (1984). Greek and Roman mechanical water-lifting devices: the history of a technology. Phoenix, 16 : Tome supplémentaire. Dordrecht: Reidel.
  35. ^ Morgan, L. H. (1877). Ancient society; or, Researches in the lines of human progress from savagery, through barbarism to civilization. New York: H. Holt and Company.
  36. ^ "Central America". MSN Encarta Online Encyclopedia 2006. Archived 2009-10-31.
  37. ^ "Olmec Origins in The Southern Pacific Lowlands". Authenticmaya.com. http://www.authenticmaya.com/olmecs_origins_in_guatemala.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  38. ^ History of the Inca Empire Inca history, society and religion.
  39. ^ Map and Timeline of Inca events
  40. ^ "Detailed history of the Roman Empire". Roman-empire.info. http://roman-empire.info. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 
  41. ^ Edward Gibbon.http://www.fordham.edu/halsall/source/gibbon-fall.html "General Observations on the Fall of the Roman Empire in the West"], from the Internet Medieval Sourcebook. Brief excerpts of Gibbon's theories.
  42. ^ Gibbon, Edward (1906). in J.B. Bury (with an Introduction by W.E.H. Lecky): [[The History of the Decline and Fall of the Roman Empire|The Decline and Fall of the Roman Empire]] (Volumes II, III, and IX). New York: Fred de Fau and Co..
  43. ^ Bury,John Bagnall (1923). http://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/secondary/BURLAT/home.html History of the Later Roman Empire]. Macmillan & Co., Ltd..
  44. ^ Bryce, J. B. (1907). The Holy Roman empire. New York: MacMillan.
  45. ^ Gascoigne, Bamber (2003). The Dynasties of China: A History. New York: Carroll & Graf. ISBN 1-84119-791-2. 
  46. ^ Gernet, Jacques (1982). A history of Chinese civilization. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-24130-8. 
  47. ^ "Han Dynasty by Minnesota State University". Mnsu.edu. http://www.mnsu.edu/emuseum/prehistory/china/early_imperial_china/han.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-04-18. 

เครื่องมือส่วนตัว

สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ
ป้ายบอกทาง
มีส่วนร่วม
พิมพ์/ส่งออก
เครื่องมือ
ภาษาอื่น