|
สมัยสุโขทัย |
ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันปรากฎชื่อมาเนิ่นนานจากคำเรียกขานของชาว
อินเดียและชาวตะวันตกว่า สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งทองและความมั่งคั่ง
สำหรับ คนไทยทั่วปไแล้วเมื่อตั้งคำถามว่าใครอยู่ที่สุวรรณภูมิมาก่อน
และคนไทยมา จากไหนจึงมาตั้งรกรากอยู่ที่สุวรรณภูมินี้ได้
เรามักนึกถึงผู้คนที่สร้างบ้านแปลง
เมืองขึ้นมาในยุคสุโขทัยเป็นอันดับแรก
และเราก็มักลืมนึกถีงผู้คนที่อพยพลงมา จากทางเทือกเขาอันไต
ผานทะเลทรายโกบีอันร้อนแรงและเหน็บหนาวอย่าง ที่สุดในฤดูหนาว
ผ่านลงมาถึงน่านเจ้า หยุดพักสร้างอาณาจักรขึ้นที่นั่น แต่ก็ต้อง
ถูกตีจนถอยร่นลงมาตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นและเราก็อาจนึกถึงบทเพลงปลุกใจ
ที่เคยร้องกันว่า...เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว
ผืนดินสิ้นแนวทะเลกว้างใหญ่... แต่ปัจจุบันความคิดดังกล่าวนี้
กำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัจากวงวิชาการว่า คน
ไทยมิได้อพยพมาจากเทือกกเขาอันไต และราชธานีสุโขทัยก็มิได้เป็นอาณาจักร
อิสระแห่งแรกของคนไทย
เพราะก่อนหน้าที่สุโขทัยจะเกิดขึ้นนั้นมีอาณาจักรอื่น
ตั้งเป็นแว่นแคว้นขึ้นมาก่อนแล้ว
ความพยายามที่จะค้นคว้าคำตอบว่าคนไทยมาจากไหน ทำให้ช่วง 2-3
ทศวรรษที่ผ่านมามีการตื่นตัวถกเถียงและเสนอความคิดเกี่ยว
กับถิ่นกำเนิดของคนไทยอย่างกว้างขวาง
กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าไทยมีต้นกำเนิดอยู่
บริเวณมณฑลเสฉวนแล้สค่อยๆออพยพลงสู่ยูนานและแหลมอินโดจีนเพราะถูกรุก
ราน
ความเชื่อนี้สอดคล้องกับกลุ่มที่เชื่อว่าคนไทยอพยพลงมาจากเทือกเขาอัลไต
ทำให้เกิดเส้นทางอพยพอัลไต-เสฉวน-น่านเจ้า และสุโขทัยขึ้น
อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณทางตอนใต้ของจีน
และทางตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมถึงบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าถิ่นเดิมของคนไทยอยู่ยริเวณเนื้อที่ประเทศไทยปัจจุบัน
กลุ่มสุดท้ายเชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอาจจะอยู่ในคาบสมุทรมาลายู
เนื่องจาก
พบว่าความถี่ของยีนและหมู่เลือดของคนไทยคล้ายคลึงกับชาวชวามากกว่าจีน
ถึงวันนี้ทฤษฎีอัลไต-เสฉวน-น่านเจ้าจะดูน่าเชื่อถือน้อยที่สุด
เพราะเหตุที่ว่าเทือก เขาอัลไตอยู่ในเขตหนาวจัดไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย
ทะเลทรายโกบีก็ร้อนและ
หนาวจัดเกินกว่าจะอพยพผ่านเส้นทางทุรกันดานลงมาได้ รวมทั้งหลักฐานหลาย
อย่างที่ชี้ว่าออาณาจักรน่านเจ้ามิได้เป็นหลักฐานเดิมของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท
ขณะที่ทฤษฎีอัลไตเป็นไปได้น้อยที่สุดแนวคิดที่ว่าคนไทยอยู่ที่นี่รวมทั้งกระจายตัวอยู่
เป็นวงกว้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมีความเป็นไปได้มากที่สุด
หลักฐาน
สำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือการค้นพบแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงจังหวัดอุดรธานีใน
ปีพ.ศ. 2510 โดยขุดค้นหลายชั้นดิน
พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณปนอยู่กับโลหะ สำริดในชั้นดินแรก
ประมาณว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 6000 ปี ชั้นดินถัดมาพบโครงกระ
ดูกมนุษย์ฝังปนกับเครื่องปั้นดินเผาลูกปัดต่าง ประมาณว่ามีอายุระหว่าง
2000-4000 ปี
และในชั้นดินส่วนบนสุดก็ยังพบโบราณวัตถุมีลูกปัดหินลูกปัดแก้วสี
รวมทั้งเสมาหิน
สมัยทวารวดีและลพบุรีปะปนอยู่ด้วยหลักฐานต่างๆที่ขุดพบนี้แสดงให้เห็นว่าภาคอีสาน
ของไทยมีมนุษย์อยู่เป็นเวลานานมาแล้ว
และยังอยู่อาศัยหลายยุคอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
แต่เราก็มิอาจสรุปได้ว่ากลุ่มคนที่ใช้วัฒนธรรม
บ้านเชียงเหล่านี้คือคนไทย "พวกเขา"
อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่พัฒนาต่อเนื่องกันมา
หรืออาจเป็นคนต่างกลุ่มที่เข้ามาอยู่ อาศัยในเวลาที่ต่างกันก็ได้
อีกทั้งคนกลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องกับคนไทยในปัจจุบันหรือไม่?
ก็ยังไม่มีใครหาข้อสรุปได้
หากในช่วง 2-3
ทศวรรษที่ผ่านมาความตื่นตัวที่จะค้นหาคำตอบว่าคนไทยมาจาก ไหนกันแน่?
ทำให้นักวิชาการออกเดินทางไปในที่ต่างๆ และได้ค้นพบหลักฐานข้อมูล
ใหม่ๆมากมาย
ที่ล้วนแต่สนับสนุนทฤษฎีคนไทยอยู่ที่นี่และกระจายตัวอยู่ในแถบอุษาคเน
นี้เองมิได้อพยพมาจากดินแดนอันไกลโพ้นที่ใดเลย
ราวปีพ.ศ.800-1400
ความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนต่างๆและการติดต่อคค้าขายระหว่างกันได้ทำให้เกิดแว่น
แคว้นต่างขึ้นตามเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ
หลายร้อยปีก่อนที่อาณาจักรสุโขทัยจะเกิดขึ้นดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันประกอบ
ไปด้วยแว่นแคว้นใหญ่น้อยจำนวนหนึ่ง
ทางใต้มีแคว้นศรีวิชัยซึ่งเกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ. 1500
มีบทบาทสำคัญในฐานะเส้นทาง การค้าทางทะเลระหว่างจีนกับอินเดีย
แต่ในทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าศูนย์กลางของ
อาณาจักรศรีวิชัยตั้งอยู่ที่ใดแน่
หลังศรีวิชัยเสื่อมลง
ตามพรลิงค์ซึ่งอยู่บริเวณนครศรีธรรมราชได้ก้าวเข้ามามีบทบาท
ควคุมเส้นทางการค้าแทน ตามพรลิงค์รุ่งเรืองอยู่ในช่วงพ.ศ.1500-1800
เฟื่องฟู ทั้งทางการค้าและวัฒนธรรมประเพณี
จนสมัยพ่อขุนรามคำแหงถึงกับอาราธนาพระสงฆ์
จากที่นี่ขึ้ไปตั้งสังฆมณฑลที่สุโขทัย
ทางเหนือ
ตั้งแต่ราวพ.ศ.1000 เป็นต้นมา มีการรวมตัวกันเป็นแคว้นหริภุญชัย โยนก-
เชียงแสนและเงินยางเชียงแสนซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นล้านนารุ่งเรืองร่วมสมัยกับ
สุโขทัยและอยุธยา
ภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน
มีแว่นแคว้นทวารวดีที่เติบโตขึ้นมาในช่วง พ.ศ.1100-1500
มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนครปฐมหรือนครชัยศรีเมืองต่างๆที่เข้ามารวม
เป็นแคว้นได้แก่ เมืองอู่ทอง(สุพรรณบุรี) เมืองคูบัว(ราชบุรี)
เมืองจันเสน(นครสวรรค์) เมืองฟ้าแดดสงยาง(กาฬสินธุ์)
และเมืองศรีเทพ(เพชบูรณ์) ทวารวดีสิ้นสุดการเป็นรัฐ ลงด้วยเหตุผล 2
อย่างคือ การเปลี่ยนทางเดินของลำน้ำและอิทธิพลขอมที่แผ่ขยายเข้ามา
ตั้งเมืองละโว้ขึ้นเป็นศูนย์กลางแทน
ละโว้รุ่งเรืองขึ้นมาหลังปี พ.ศ.1500
แทนที่รัฐเดิมของทวารวดีอย่างนครชัยศรีและศรี เทพ
โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำลพบุรีเมื่อขอมเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่
18 พร้อมกับการเกิดของสุโขทัย ละโว้ก็ลดบทบาทลงไปด้วย
แต่ก่มิได้เสื่อมสลายไปทีเดียว
หากยังคงรักษารูปแบบความเจริญทางด้านศิลปวิทยาการไว้
และพัฒนาต่อเนื่องขึ้นมา เป็นกรุงศรีอยุธยาในภายหลัง
ชื่อของเมืองที่แปลว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" และคำกล่าวที่รู้จัก
กันดีว่า...เมืองสุโขทัยนี้ดีในน้ำมีปลาในนามีข้าว
ทำให้ภาพของสุโขทัยเป็นดั่งเมือง แห่งความฝัน
นครแห่งความสุขและอดีตที่มิอาจหวนคืน
สุโขทัยถือกำเนิดขึ้นอย่างเรียบง่ายจากการพัฒนาของหมู่บ้านเล็กๆ
ที่เติบโตขึ้นเป็นเมือง กระจายตัวอยู่ตามแนวลุ่มน้ำยมและน่านครั้นก่อน
พ.ศ. 1700 การคมนาคมและการค้าต่างๆได้ขยายตัวมากขึ้นเมืองที่อยู่
ตามลุ่มน้ำยมและน่านที่เป็นเส้นทางผ่านการค้าระหว่างรัฐต่างๆก็เริ่มรวม
ตัวกันมากขึ้น สุโขทัยเริ่มมีฐานะเป็นแว่นแคว้นขึ้นมาป็นครั้งแรกโดยมี
พ่อขุนศรีนาวถมเป็นพ่อเมือง และเป็นช่วงที่อิทธิพลขอมเริ่มเสื่อมลงด้วย
ทำให้สุโขทัยเป็นปึกแผ่นมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น โดยมีขอมพวกหนึ่งชื่อว่า
"ขอมสบาดโขลงลำพง" ได้เข้ายึดเมืองและ เป็นไปได้ว่า
พ่อขุนศรีนาวถมได้เสียชีวิตไปแล้วในช่วงนี้ พ่อขุนผาเมือง
ซึ่งครองเมืองราดอยู่จึงร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวรวมกำลังไปชิง
เมืองสุโขทัยคืนมาได้สำเร็จ พ่อขุนผาเมืองจึงยกเมืองให้พ่อขุนบาง
กลางหาวพร้อมทั้งมอบนาม "ศรีอินทราบดินทราทิตย์" ให้ด้วย อันเป็น ช่วง
พ.ศ.1778
หลังจากนั้นการขยายอาณาเขตของสุโขทัยก็เริ่มขึ้นถือเป็นช่วงเวลาของ
การกวาดต้อนผู้คนและรวมบ้านรวมเมืองให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
หลังจากพ่อขุนศรีอิทราทิตย์สิ้นพระชนม์
พ่อขุนบานเมืองซึ่งเป็นพระราชโอรส ได้ปกครองต่อ
แต่ก็นับเป็นช่วงสมัยที่สั้นมาก เพียง 44 ปีนับตั้งแต่พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาของการรวมแว่นแคว้นให้เป็นปึกแผ่น
กษัตริย์ผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงสุโขทัย คือโอรสองค์ ที่ 2
ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระองค์มีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างกรุงสุโขทัย
ให้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
เป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์อักษรไทยและสร้างศิลาจารึก
ในยุคนี้ขอบเขตของอาณาจักรสุโขทัยได้แผ่ขยายออกไปมากที่สุด โดยในเรื่อง
ของระบบเศรษฐกิจนั้นก็เป็นระบบแบบเปิดเสรี คือ
ไม่มีการเก็บภาษีทำให้สุโขทัย เติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ
และเป็นแหล่งรวมวัมนธรรมอันหลาก หลายแห่งแว่นแคว้นนี้
เมื่อสิ้นแผ่นดินพ่อขุนรามคำแหง กรุงสุโขทัยเริ่มอ่อนกำลังลง
พระมหาธรรมราชาที่1 หรือ พระยาลิไทย
ผู้ปกครองสุโขทัยอยู่ในช่วงประมาณปีพ.ศ.1890-1913 จึงได้นำ
พระพุทธศาสนาเข้ามาฟื้นฟูการปกครอง
และทรงขยายอำนาจด้วยการทำสงครามพร้อมๆ กับการเผยแพร่ศาสนา
แต่หลังจากสิ้นสมัยของพระองค์แล้ว อาณาจักรสุโขทัยก็เริ่มอ่อน
แอลงอย่างแท้จริง พร้อมๆกับที่แว่นแคว้นอื่นเข้มแข็งขึ้น
ล้านนาขยายอำนาจลงมาจนถึง ลุ่มแม่น้ำยม-น่าน
แคว้นละโว้-อยุธยาเข้มแข็งขึ้นจากการรวมตัวกับสุพรรณบุรีที่ครอง
อำนาจอยู่เหนือลุ่มแม่น้ำท่าจีน
จนในที่สุดก็ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นได้สำเร็จในปี พ.ศ.1893
หลังจากนั้นไม่นานอาณาจักรสุโขทัยก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา
|
|