สมเด็จพระราเมศวร
สมเด็จพระราเมศวร |
|
---|---|
พระบรมนามาภิไธย | พระราเมศวร |
พระอิสริยยศ | พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์อู่ทอง |
ครองราชย์ | ครั้งที่ 1 พ.ศ. 1912 พระชนมายุ 37 พรรษา ครั้งที่ 2 พ.ศ. 1931 พระชนมายุ 56 พรรษา |
ระยะครองราชย์ | ครั้งที่ 1 1 ปี ครั้งที่ 2 7 ปี รวม 8 ปี |
รัชกาลก่อนหน้า | ครั้งที่ 1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครั้งที่ 2 สมเด็จพระเจ้าทองลัน |
รัชกาลถัดไป | ครั้งที่ 1 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ครั้งที่ 2 สมเด็จพระรามราชาธิราช |
พระพุทธปฏิมาประจำรัชกาล | พระพุทธรูปปางพระเกศาธาตุ ณ หอราชกรมานุสรณ์ |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 1885 |
สวรรคต | พ.ศ. 1938 รวมพระชนมายุ 63 พรรษา |
พระราชชนก | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 |
พระราชชนนี | ไม่ปรากฏพระนาม (พระขนิษฐาในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1) |
พระราชโอรส/ธิดา | - สมเด็จพระรามราชาธิราช |
-
บทความนี้เกี่ยวกับสมเด็จพระราเมศวร สำหรับพระราเมศวรพระองค์อื่น ดูที่ พระราเมศวร
สมเด็จพระราเมศวร พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 กับพระขนิษฐาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี เสด็จพระราชสมภพใน พ.ศ. 1875 พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็สละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้เป็นพระมาตุลา และเสด็จขึ้นครองราชสมบัติอีกครั้งภายหลังการสำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน
แม้พระองค์จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงประหารพระญาติของพระองค์เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ แต่พระองค์ก็ทรงสร้างคุณูปการต่อกรุงศรีอยุธยาไว้หลายประการ ไม่ว่าจะด้านพระศาสนาหรือการสงคราม ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรยกย่องเชิดชูพระเกียรติที่ทรงปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขโดยที่ไม่มีเมืองต่างๆมารุกราน พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงขยายอาณาเขตให้อาณาจักรอยุธยายิ่งใหญ่ พระองค์ยังทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาส่วนมากจะทำศึกสงคราม
เนื้อหา |
[แก้] พระราชประวัติ
สมเด็จพระราเมศวรเป็นพระราชโอรสใหญ่ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ที่ประสูติแต่พระกนิษฐาของขุนหลวงพะงั่ว (ต่อมา คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา) เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระราเมศวรไปปกครองเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงและเป็นเมืองหน้าด่านทางด้านตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา
หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1912 พระองค์ทรงขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อมีพระชนมายุได้ 27 พรรษา แต่พระองค์ทรงครองราชสมบัติได้เพียงปีเดียว ขุนหลวงพะงั่วพระมาตุลาในพระองค์ทรงยกกองทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรีประชิดกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงถวายราชสมบัติให้พระมาตุลาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1
ภายหลังสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1931 พระเจ้าทองลันพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้เพียง 7 วัน สมเด็จพระราเมศวรได้ยกพลมาแต่เมืองลพบุรีและขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าทองลันเสีย
สมเด็จพระราเมศวรเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 1938 สิริพระชนมายุ 53 พรรษา ทรงครองราชสมบัติรวม 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยสมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อ
[แก้] พระราชกรณีกิจ
[แก้] ราชการสงคราม
เมื่อปี พ.ศ. 1895 ขณะที่พระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อยู่นั้น สมเด็จพระราชบิดาโปรดให้เชิญพระองค์ลงมาจากเมืองลพบุรีและตรัสว่าขอมแปรพักตร์ต้องปราบปรามเสีย จึงโปรดให้พระองค์ยกพล 5000 ไปยังเมืองนครธมแห่งกรุงกัมพูชาธิบดี พระยาอุปราชพระราชโอรสในพระบรมลำพงษ์ราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ได้เข้าโจมตีทัพหน้าของกรุงศรีอยุธยาจนแตกพ่าย แล้วจึงเข้าปะทะกับทัพหลวงต่อ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ขุนตำรวจออกไปเชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ประทับอยู่ ณ เมืองสุพรรณบุรี ขึ้นไปทำศึกช่วยพระราเมศวร การศึกดำเนินไปเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยประมาณ จึงสามารถเอาชนะกรุงกัมพูชาธิบดีได้สำเร็จและได้กวาดต้อนครัวชาวกัมพูชาธิบดีเข้ามายังอยู่กรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก
หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในครั้งที่ 2 แล้วนั้น พระองค์ทรงทำสงครามแผ่ขยายราชอาณาเขตกรุงศรีอยุธยาออกไปยังหัวเมืองทางตอนเหนือและแถบเมืองกัมพูชา ดังนี้
[แก้] สงครามกับเมืองเชียงใหม่
เมื่อปี พ.ศ. 1933 พระองค์ทรงยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ ในชั้นแรกนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ได้ขอสงบศึก โดยขอเวลา 7 วันแล้วจะนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายเพื่อเจริญพระราชไมตรี ในการนี้มุขมนตรีนายทัพนายกองได้ปรึกษาหารือว่า อาจจะเป็นกลอุบายของพระเจ้าเชียงใหม่เพื่อจะได้เตรียมการรับมือกองทัพของกรุงศรีอยุธยา แต่พระองค์ตรัสว่าเมื่อเขาไม่รบแล้วเราจะรบนั้นดูมิบังควรและถึงแม้ว่าพระเจ้าเชียงใหม่จะไม่รักษาสัตย์ก็ใช่ว่าจะสามารถรอดพ้นจากทหารของกรุงศรีอยุธยาไปได้
เมื่อผ่านไป 7 วัน พระเจ้าเชียงใหม่ไม่ได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย พระองค์จึงยกกำลังเข้าตีเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่ต้านไม่ได้จึงหนีออกไป แต่สามารถจับนักสร้างพระโอรสพระเจ้าเชียงใหม่ได้ พระองค์ทรงพระกรุณาให้นักสร้างขึ้นครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่ และได้กวาดต้อนผู้คนลงมาทางใต้โดยให้ไปอยู่ที่เมืองจันทบูร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง และเมืองสงขลา ทำให้ชาวเหนือและชาวใต้มีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่ใกล้เคียงกัน
[แก้] สงครามกับเมืองกัมพูชาธิบดี
หลังจากที่เสด็จกลับจากการทำศึก ณ เมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้ทรงทำศึกกับเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง เนื่องจากพระยากัมพูชาได้ยกทัพมายังเมืองชลบุรีและกวาดต้อนผู้คนชาวเมืองจันทบูรและเมืองชลบุรีไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีประมาณ 6,000 - 7,000 คน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงยกกองทัพไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง โดยโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาไชยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้า เมื่อตีเมืองพระนครได้แล้ว พระยากัมพูชาได้ลงเรือหลบหนีไป แต่สามารถจับพระยาอุปราชพระราชโอรสของพระยากัมพูชาได้ และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยณรงค์อยู่รั้งเมืองกัมพูชาธิบดีพร้อมกำลังพล 5,000 คน ต่อมา ญวนยกกำลังมารบ พระองค์จึงให้พระยาไชยณรงค์กวาดต้อนผู้คนมายังกรุงศรีอยุธยา
[แก้] การพระศาสนา
หลังจากศึก ณ เมืองเชียงใหม่เสร็จสิ้น พระองค์เสด็จยังเมืองพิษณุโลก ในการนี้พระองค์เสด็จนมัสการพระพุทธชินราชและเปลื้องเครื่องต้นทำสักการบูชาสมโภช 7 วัน แล้วจึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา สำหรับการพระพุทธศาสนาภายในกรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์โปรดให้สถาปนาพระมหาธาตุสูง 17 วา ยอดสูง 3 วา ณ บริเวณที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฎิหารย์ โดยพระราชทานชื่อว่า วัดพระมหาธาตุ นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สถาปนาวัดภูเขาทองขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1930
[แก้] ราชตระกูล
สมเด็จพระราเมศวร |
พระชนก: สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 |
พระอัยกาฝ่ายพระชนก: มีหลายตำนาน |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: ไม่มีข้อมูล |
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: ไม่มีข้อมูล |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก: มีหลายตำนาน |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: ไม่มีข้อมูล |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: ไม่มีข้อมูล |
|||
พระชนนี: ไม่ปรากฏพระนาม (พระขนิษฐาในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1) |
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
|
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่มีข้อมูล |
[แก้] อ้างอิง
- พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์อธิบายประกอบ. สำนักงานพิมพ์โอเดียนสโตร์. พ.ศ. 2510.
- พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. สำนักงานพิมพ์คลังวิทยา. พ.ศ. 2510.
[แก้] ดูเพิ่ม
สมัยก่อนหน้า | สมเด็จพระราเมศวร | สมัยถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (ราชวงศ์อู่ทอง) (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 1912) |
พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา (ครั้งที่ 1) (ราชวงศ์อู่ทอง) (พ.ศ. 1912 - พ.ศ. 1913) |
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) (พ.ศ. 1913 - พ.ศ. 1931) |
||
สมเด็จพระเจ้าทองลัน (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) (พ.ศ. 1913) |
พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา (ครั้งที่ 2) (ราชวงศ์อู่ทอง) (พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1938) |
สมเด็จพระรามราชาธิราช (ราชวงศ์อู่ทอง) (พ.ศ. 1938 - พ.ศ. 1952) |
|
|