พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |
|
---|---|
พระบรมนามาภิไธย | ทองด้วง |
พระราชอิสริยยศ | พระมหากษัตริย์สยาม |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์จักรี |
ครองราชย์ | 6 เมษายน พ.ศ. 2325 |
บรมราชาภิเษก | 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 |
ระยะครองราชย์ | 27 ปี |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช |
รัชกาลถัดไป | พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
วัดประจำรัชกาล | วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พระราชสมภพ | 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 |
สวรรคต | 7 กันยายน พ.ศ. 2352 รวมพระชนมพรรษา 73 พรรษา |
พระบรมราชชนก | สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก |
พระบรมราชชนนี | พระอัครชายา (ดาวเรือง) |
พระมเหสี | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี |
พระราชโอรส/ธิดา | 42 พระองค์ |
พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — 7 กันยายน พ.ศ. 2352) พระนามพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งถวาย[1]) รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พุทธศักราช 2279 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ
เนื้อหา |
พระราชประวัติ
พระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่านมีพระนามเดิมว่า ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาพระบรมอัฐิขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก และพระอัครชายา (ดาวเรือง หรือ หยก) ทรงมีพระเชษฐา พระเชษฐภคินี และพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีรวม 5 พระองค์ ได้แก่
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
- พระเจ้ารามณรงค์
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์
- พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
นอกจากนี้ พระองค์ยังมีพระอนุชาและพระขนิษฐาต่างพระชนนีอีก 2 พระองค์ ได้แก่
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุ กรมหลวงนรินทรเทวี
เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ต่อมา คือ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ครั้นพระชนมายุครบ 21 พรรษา ก็เสด็จออกผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทลาย 1 พรรษา แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรดังเดิม เมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา พระองค์เสด็จออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรีในตำแหน่ง "หลวงยกกระบัตร" ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์[2] และได้สมรสกับคุณนาค (ภายหลังได้รับการสถาปนาที่ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ธิดาในตระกูลเศรษฐีมอญที่มีรกรากอยู่ที่บ้านอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม[3]
รับราชการในสมัยกรุงธนบุรี
-
ดูเพิ่มที่ การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้ 32 พรรษาและได้เข้าถวายตัวรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตามคำชักชวนของพระมหามนตรี (บุญมา) (ต่อมา คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท) โดยทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น "พระราชริน (พระราชวรินทร์)" เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และทรงย้ายนิวาสสถานมาอยู่ที่บริเวณวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จขึ้นไปตีเมืองพิมายซึ่งมีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้าเมืองพิมายอยู่ พระองค์และพระมหามนตรีได้รับพระราชโองการให้ยกทัพร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย หลังจากการศึกในครั้งนี้ พระองค์ทรงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาอไภยรณฤทธิ์" จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา เพื่อเป็นการปูนบำเหน็จที่มีความชอบในการสงครามครั้งนี้
หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพระฝางสำเร็จแล้ว ทรงมีพระราชดำริว่าเจ้าพระยาจักรีแขก นั้นมิแกล้วกล้าในการสงคราม ดังนั้น จึงโปรดตั้งพระองค์ขึ้นเป็น "พระยายมราช" เสนาธิบดีกรมพระนครบาล โดยให้ว่าราชการที่สมุหนายกด้วย เมื่อเจ้าพระยาจักรีแขกถึงแก่กรรมแล้ว พระองค์จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "เจ้าพระยาจักรี" อัครมหาเสนากรมมหาดไทย พร้อมทั้งโปรดให้เป็นแม่ทัพเพื่อไปตีกรุงกัมพูชา โดยสามารถตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองพุทไธเพชร (เมืองบันทายมาศ) ได้ เมื่อสิ้นสงครามสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงโปรดให้นักองค์รามาธิบดีไปครองเมืองพุทไธเพชรให้เป็นใหญ่ในกรุงกัมพูชา และมีพระดำรัสให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาโกษาธิบดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองพุทไธเพชรจนกว่าเหตุการณ์จะสงบราบคาบก่อน
พระองค์เป็นแม่ทัพทำราชการสงครามกับพม่า เขมรและลาว จนมีความชอบในราชการมากมาย ดังนั้น จึงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก" และทรงได้รับพระราชทานให้ทรงเสลี่ยงงากลั้นกลดและมีเครื่องยศเสมอยศเจ้าต่างกรม[4][5]
เมื่อถึงปี พ.ศ. 2325 ได้เกิดจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี คือ พระยาสรรค์ ได้ตั้งตัวเป็นกบฎ ขณะนั้นพระองค์ท่านเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้เสด็จกลับจากกัมพูชา มาที่ กรุงธนบุรี แล้วปราบปรามกบฎและนำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปสำเร็จโทษ เหตุเพราะทรงมีพระสติวิปลาส จึงให้นำไปสำเร็จโทษด้วยการ "ทุบด้วยท่อนจันทน์" สมัยกรุงธนบุรีจึงสิ้นสุดลงในที่สุด
ปราบดาภิเษก
หลังจากนั้นในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากที่พระองค์ทรงปราบปรามกบฎเรียบร้อยแล้ว ทางอาณาประชาราษฎร์ได้อัญเชิญเสด็จขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะที่ทรงมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" หรือเรียกอย่างสังเขปว่า "กรุงเทพมหานคร"
พระปรมาภิไธย
เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาษกรวงษ์ องค์บรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวไศรย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอักนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชยพรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร ภูมินทรบรมาธิเบศโลกเชฐวิสุทธิ รัตนมกุฏประเทศคตา มหาพุทธางกูรบรมบพิตร"[6]
เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏนี้เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น พระองค์จึงเป็น "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4"[7]
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ถวายพระบรมนามาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก"[7]
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1[8]
ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา "มหาราช" ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช"[9][10]
พระราชลัญจกร
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 เป็นตรางารูป "ปทุมอุณาโลม" หรือ "มหาอุณาโลม" หมายถึง ตาที่สามของพระอิศวร ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา
ตราอุณาโลมที่ใช้ตีประทับบนเงินพดด้วงมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต หรือ สังข์เวียนขวา มีลักษณะเป็นม้วนกลมคล้ายลักษณะความหมายของพระนามเดิมว่า "ด้วง" อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2328 ในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก[11][12]
พระราชสันตติวงศ์
-
ดูบทความหลักที่ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมรสกับคุณนาค ธิดาของคหบดีใหญ่ในตระกูลบางช้าง (ดู ณ บางช้าง) โดยมีพระราชโอรสสองพระองค์หนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง เมืองราชบุรี (ในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2554) แขวงบางช้างคือจังหวัดสมุทรสงคราม ในอดีตแขวงดังกล่าวมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ตามการแบ่งเขตการปกครองในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2554)) ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ แม้จะมิได้ทรงโปรดให้สถาปนายกย่องขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าท่านผู้หญิงนาค เอกภรรยาดั้งเดิมนั้นเองที่อยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี จึงพากันขนานพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา หรือสมเด็จพระพรรษา ตามอย่างการขนานพระนามสมเด็จพระอัครมเหสีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาทรงมีอีกพระนามว่าสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระพันวษา พระอัครมเหสี 10 พระองค์
เรียงตามพระประสูติกาล
ประสูตินอกพระมหาเศวตฉัตร | ||||
พระนาม | พระมารดา | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | พระชันษารวม |
---|---|---|---|---|
1. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชาย (ไม่ปรากฏพระนาม) |
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | - | สิ้นพระชนม์แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา | - |
2. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง (ไม่ปรากฏพระนาม) |
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | - | สิ้นพระชนม์แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา | - |
3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฉิมใหญ่ | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | - | ปีกุนเอกศก จ.ศ. 1141 | - |
4. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายฉิม | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | วันพุธ เดือน 4 ขึ้น 7 ค่ำ ปีกุนนพศก จ.ศ. 1129 |
วันพุธ เดือน 8 แรม 11 ค่ำ ปีวอกฉศก จ.ศ.1186 |
57 พรรษา |
5. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าแจ่มกระจ่างฟ้า | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | ปีขาลโทศก จ.ศ. 1132 | วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 1 ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จ.ศ. 1170 | 38 พรรษา |
6. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง (ไม่ปรากฏพระนาม) |
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | - | สิ้นพระชนม์ในแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี | - |
7. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายจุ้ย | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | วันจันทร์ เดือน 5 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะโรงเบญจศก จ.ศ. 1134 | วันพุธ เดือน 8 อุตราสาท ขึ้น 3 ค่ำ ปีฉลูนพศก จ.ศ. 1179 | 45 พรรษา |
8. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง (ไม่ปรากฏพระนาม) |
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | - | สิ้นพระชนม์ในแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี | - |
9. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงเอี้ยง | สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | วันอังคาร เดือน 7 ขึ้น 7 ค่ำ ปีระกานพศก จ.ศ. 1139 |
วันศุกร์ เดือน 9 แรม 2 ค่ำ ปีมะแมเบญจศก จ.ศ. 1185 | 47 พรรษา |
10. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากล้าย | เจ้าจอมมารดาภิมสวน | ปีจอสัมฤทธิศก จ.ศ.1140 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 1 | - |
ประสูติเมื่อเสด็จปราบดาภิเษกแล้ว | ||||
11. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงนุ่ม | เจ้าจอมมารดาปุย | ปีเถาะเบญจศก จ.ศ. 1145 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 | - |
12. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายทับทิม | เจ้าจอมมารดาจัน | ปีเถาะเบญจศก จ.ศ. 1145 | วันศุกร์ เดือน 7 แรม 6 ค่ำ ปีมะโรงโทศก จ.ศ. 1182 |
38 พรรษา |
13. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิง | เจ้าจอมมารดาดวง | ปีมะโรงฉศก จ.ศ. 1146 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 1 | - |
14. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงผะอบ | เจ้าจอมมารดาภิมสวน | ปีมะโรงฉศก จ.ศ. 1146 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 1 | - |
15. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงพลับ | เจ้าจอมมารดาคุ้ม | ปีมะเส็งสัปตศก จ.ศ. 1147 | ปีขาลสัปตศก จ.ศ. 1228 | 82 พรรษา |
16. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายอภัยทัต | เจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ธิดาพระยาจักรี เมืองนครศรีธรรมราช |
วันอังคาร เดือน 9 แรม 3 ค่ำ ปีมะเส็งสัปศก จ.ศ. 1147 |
วันอังคาร เดือน 3 แรม 11 ค่ำ ปีระกานพศก จ.ศ. 1199 | 52 พรรษา |
17. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายอรุโณทัย | เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร) กับท่านผู้หญิงชุ่ม (ทูลกระหม่อมหญิงใหญ่เมืองนคร) |
ปีเถาะนพศก จ.ศ. 1169 | วันอังคาร เดือน 6 ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรงจัตวาศก จ.ศ. 1194 | 48 พรรษา |
18. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายทับ | เจ้าจอมมารดาน้อย |
- | วันอังคาร เดือน 5 แรม10 ค่ำ ปีระกาสัปตศก จ.ศ. 1187 | 39 พรรษา |
19. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงธิดา | เจ้าจอมมารดาเอม |
ปีมะแมนพศก จ.ศ. 1149 | ปีจอสัมฤทธิศก จ.ศ. 1200 | 52 พรรษา |
20. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายคันธรส | เจ้าจอมมารดาพุ่ม ธิดาเจ้าพระยาวิเศษสุนทร (นาค นกเล็ก) |
วันพฤหัสบดี เดือน 3 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะแมนพศก จ.ศ. 1149 | วันอังคาร เดือนยี่ ขึ้น 13 ค่ำ ปีชวดอัฐศก จ.ศ. 1178 |
30 พรรษา |
21. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงจงกลณี | เจ้าจอมมารดาตานี ธิดาเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) |
ปีวอกสัมฤทธิศก จ.ศ. 1150 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 | - |
22. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายสุริยา | เจ้าจอมมารดาเพ็งใหญ่ |
วันอังคาร เดือน 12 แรม 1 ค่ำปีระกาเอกศก จ.ศ. 1151 |
วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ขึ้น 7 ค่ำ ปีขาลฉศก จ.ศ.1216 |
66 พรรษา |
23. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงเกษร | เจ้าจอมมารดาประทุมา |
ปีระกาเอกศก จ.ศ. 1151 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 | - |
24. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงมณฑา | เจ้าจอมมารดานิ่ม |
ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 | วันพฤหัสบดีเดือน 8 อุตราสาฒ ขึ้น 11 ค่ำ ปีระกาตรีศก จ.ศ. 1223 |
72 พรรษา |
25. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงมณี | เจ้าจอมมารดาอู่ ธิดาพระยาเพชรบุรี (บุญรอด) |
ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4 | - |
26. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงดวงสุดา | เจ้าจอมมารดาน้อย |
ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4 | - |
27. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงจักจั่น (บางแห่งว่า พระองค์เจ้าหญิงสุมาลี) | เจ้าจอมมารดาอิ่ม ภายหลังได้เป็น ท้าววรจันทร์ฯ มีหน้าที่บังคับบัญชาท้าวนางทั่วทั้งพระราชวัง
|
ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 | - |
28. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายวาสุกรี | เจ้าจอมมารดาจุ้ย ธิดาพระราชาเศรษฐี |
วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น 5 ค่ำ ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 |
วันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น 8 ค่ำ ปีฉลูเบญจศก จ.ศ. 1214 |
64 พรรษา |
29. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายฉัตร | เจ้าจอมมารดาตานี (เจ้าคุณวัง) ธิดาเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) เกิดแต่ท่านผู้หญิงเดิมที่ถูกโจรฆ่าตายไปเมื่อครั้งกลับไปขนทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้กลับมาจากกรุงเก่า |
วันอังคาร เดือน 3 ขึ้น 5 ค่ำ ปีจอโทศก จ.ศ. 1152 |
วันอังคาร เดือน 6 ขึ้น 6 ค่ำ ปีขาลโทศก จ.ศ. 1192 |
40 พรรษา |
30. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายสุริยวงศ์ | เจ้าจอมมารดานวล |
วันพฤหัสบดี เดือน 6 ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุนตรีศก จ.ศ. 1153 |
วันเสาร์ เดือนอ้าย แรม 2 ค่ำ ปีฉลูเบญจศก จ.ศ. 1215 | 63 พรรษา |
31. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงอุบล | เจ้าจอมมารดาทอง ธิดาในท้าวเทพกระษัตรี วีรสตรีแห่งเมืองถลาง |
วันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 11 ค่ำ ปีกุนตรีศก จ.ศ. 1153 |
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 | - |
32. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงฉิมพลี | เจ้าจอมมารดางิ้ว |
ปีกุน ตรีศก จ.ศ. 1153 | วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีมะเส็งนพศก จ.ศ. 1219 | 67 พรรษา |
33. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายไกรสร | เจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว |
วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีกุนตรีศก จ.ศ. 1153 |
วันพุธ เดือนอ้าย แรม 3 ค่ำ ปีวอกสัมฤทธิศก จ.ศ.1210 | 57 พรรษา |
34. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายดารากร | เจ้าจอมมารดาเพ็งใหญ่ |
วันเสาร์ เดือน 8 ขึ้น 12 ค่ำ ปีชวดจัตวาศก จ.ศ. 1154 |
ปีวอกสัมฤทธิศก จ.ศ. 1210 | 57 พรรษา |
35. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายดวงจักร | เจ้าจอมมารดาปาน |
วันจันทร์ เดือน 8 แรม 6 ค่ำ ปีชวดจัตวาศก จ.ศ. 1154 |
อาทิตย์ เดือน 10 แรม 8 ค่ำ ปีมะเมียอัฐศก จ.ศ. 1208 | 55 พรรษา |
36. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงศศิธร | เจ้าจอมมารดาฉิมแมว ซึ่งเป็นธิดาท้าววรจันทร์ (แจ่ม) |
ปีขาลฉศก จ.ศ. 1156 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 | - |
37. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงเรไร | เจ้าจอมมารดาป้อม (ป้อมสีดา) ธิดาพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) |
ปีเถาะสัปตศก จ.ศ. 1157 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 1 | - |
38. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงกระษัตรี | เจ้าจอมมารดานวม |
ปีมะโรงอัฐศก จ.ศ. 1158 | ปีชวดอัฐศก จ.ศ. 1178 | 20 พรรษา |
39. พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี (พระนามเดิม พระองค์เจ้าจันทบุรี) | เจ้าจอมมารดาทองสุก พระธิดาเจ้าอินทวงศ์ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเจ้าประเทศราชขณะนั้น |
ปีมะเมียสัมฤทธิศก จ.ศ. 1160 | วันเสาร์ เดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ ปีจอสัมฤทธิศก จ.ศ. 1200 |
41 พรรษา |
40. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ | เจ้าจอมมารดากลิ่น ธิดาพระยาพัทลุง (ขุน) |
วันพุธ เดือน 8 บุรพาสาฒ ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก จ.ศ. 1160 | วันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม 10 ค่ำ ปีมะเมียนพศก จ.ศ. 1209 | 49 พรรษา |
41. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงสุภาธร | เจ้าจอมมารดาเพ็งเล็ก พระธิดาเจ้านันทเสน พระเจ้าเวียงจันทน์ |
ปีมะเมียสัมฤทธิศก จ.ศ. 1160 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 | 41 พรรษา |
42. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงสุด | เจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ ธิดาพระยาพัทลุง (ขุน) |
ปีมะแมเอกศก จ.ศ. 1161 | สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 | 49 พรรษา |
ลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ
- พ.ศ. 2279
- 20 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชสมภพที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม ทองด้วง
- พ.ศ. 2325
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต
- ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
- สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี
- โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าขึ้นเป็นที่ พระมหาอุปราชฝ่ายหน้า
- โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าทองอิน ขึ้นเป็นที่ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศน์ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง'
- องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
- โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม
- พ.ศ. 2326
- กำหนดระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
- ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอุณรุท
- เริ่มงานสร้างพระนคร ขุดคูเมืองทางฝั่งตะวันออก สร้างกำแพงและป้อมปราการรอบพระนคร
- สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- พ.ศ. 2327
- โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากหอพระแก้วในพระราชวังเดิม แห่ข้ามมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถในพระราชวังใหม่ ทรงพระราชทานนามพระอารามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้า
- สงครามเก้าทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าทรงกรีธาทัพเข้ามาตีเมืองไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ รวม 9 ทัพ กองทัพไทยตีกองทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินไปทุกทัพ
- พ.ศ. 2328
- งานสร้างพระนครและปราสาทราชมณเฑียรสำเร็จเสร็จสิ้น
- พระราชทานนามของราชธานีใหม่
- พ.ศ. 2329
- สงครามรบพม่าที่ท่าดินแดง
- ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศรบพม่าท่าดินแดง
- โปรตุเกสขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี
- อังกฤษเช่าเกาะปีนัง จากพระยาไทรบุรี
- พ.ศ. 2330
- องเชียงสือเขียนหนังสือขอถวายบังคมลา ลอบหนีไปกู้บ้านเมือง
- อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานภายในพระราชวังบวรสถานมงคล
- พ.ศ. 2331
- โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎก ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
- พ.ศ. 2333
- องเชียงสือกู้บ้านเมืองสำเร็จและจัดต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาถวาย
- พ.ศ. 2337
- ทรงอภิเษกให้นักองค์เอง เป็น สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ไปครองกรุงกัมพูชา
- พ.ศ. 2338
- โปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทานุมาศ
- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาพิชัยราชรถ
- พ.ศ. 2339
- งานสมโภชพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
- พ.ศ. 2340
- ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์
- พ.ศ. 2342
- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเวชยันตราชรถ
- พ.ศ. 2344
- ฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดสระเกศ
- ฟื้นฟูการเล่นสักวา
- พ.ศ. 2345
- ราชาภิเษกพระเจ้าเวียดนามยาลอง (องเชียงสือ)
- พ.ศ. 2347
- โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ชำระกฎหมาย จัดเป็นประมวล กฎหมายตราสามดวง ขึ้น
- พ.ศ. 2349
- ทรงอภิเษกให้ นักองค์จันทร์ เป็น สมเด็จพระอุทัยราชา ครองกรุงกัมพูชา
- พ.ศ. 2350
- เริ่มสร้างวัดสุทัศน์เทพวราราม
- พ.ศ. 2352
- ได้ริเริ่มให้มีการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย ทรงโปรดเกล้าฯให้มีการสอบพระปริยัติธรรม ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสถาปนาพระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราช
- เสด็จสวรรคต
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ^ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ. หน้า 15.
- ^ เทศนาพระราชประวัติและพงศาวดารกรุงเทพฯ, หน้า 5-7
- ^ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 12
- ^ พระบาทสมเด็จพระเธียรมหาราชเจ้า, ปฐมวงศ์ (พระบรมราชมหาจักรีกษัตริย์สยาม), โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย, พ.ศ. 2470
- ^ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา, หน้า 131-132
- ^ 6 เมษายน - วันจักรี - พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, เข้าถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
- ^ 7.0 7.1 จุลลดา ภักดีภูมินทร์, สร้อยพระนาม, สกุลไทย, ฉบับที่ 2622, ปีที่ 51, ประจำวันอังคารที่ 18 มกราคม 2548
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธย, เล่ม ๓๓, ตอน ๐ก, ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๙, หน้า ๒๑๒
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, หมายกำหนดการ ที่ ๔/๒๕๒๕ พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ ๒๐๐ ปี เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕, เล่ม ๙๙, ตอน ๔๘ ง ฉบับพิเศษ, ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕, หน้า ๑
- ^ พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตน์โกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี และพระราชพิธีสมโภชหลักเมือง, สำนักงานส่งเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, เข้าถึงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
- ^ พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑, หอมรดกไทย, เข้าถึงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
- ^ พระราชลัญจกรประจำรัชกาล, สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง, เข้าถึงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
- พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชสกุล ข้อความและความเห็นจากเว็บบอร์ดพันทิป
สมัยก่อนหน้า | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช | สมัยถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (ตากสิน) (กรุงธนบุรี) |
พระมหากษัตริย์สยาม (6 เมษายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน พ.ศ. 2352) |
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอิศรสุนทรฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
|