ชวลิต ยงใจยุทธ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชวลิต ยงใจยุทธ
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 22
ดำรงตำแหน่ง
25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 (&&&&&&&&&&&&&&00.&&&&&00 ปี, &&&&&&&&&&&&0349.&&&&&0349 วัน)
รองนายกรัฐมนตรี สุขวิช รังสิตพล
อำนวย วีรวรรณ
กร ทัพพะรังสี
มนตรี พงษ์พานิช
สมัคร สุนทรเวช
ทักษิณ ชินวัตร
วีรพงษ์ รามางกูร
สุวิทย์ คุณกิตติ
สมัยก่อนหน้า บรรหาร ศิลปอาชา
สมัยถัดไป ชวน หลีกภัย
ผู้บัญชาการทหารบก
ดำรงตำแหน่ง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 – 28 มีนาคม พ.ศ. 2533
สมัยก่อนหน้า พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก
สมัยถัดไป พลเอก สุจินดา คราประยูร
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย
ดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 1
15 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 – 16 มิถุนายน พ.ศ. 2535
สมัยก่อนหน้า พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร
สมัยถัดไป พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร
ดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 2
26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 – 2 มิถุนายน พ.ศ. 2541
ดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 3
2 กันยายน พ.ศ. 2541 – 27 เมษายน พ.ศ. 2542
ดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 4
12 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 – 30 เมษายน พ.ศ. 2543
สมัยก่อนหน้า ชวน หลีกภัย
สมัยถัดไป ชวน หลีกภัย
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 (80 ปี)
จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย
พรรคการเมือง เพื่อไทย (2552-2554)
ไทยรักไทย (2545-2548)
ความหวังใหม่ (? - 2545)
คู่สมรส คุณหญิงพันธุ์เครือ (ลิมปภมร) ยงใจยุทธ
ศาสนา พุทธ

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (15 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 — ) เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 22 ของไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีดรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด

เป็นเจ้าของสมญา "ขงเบ้งแห่งกองทัพบก" เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้า พรรคความหวังใหม่ คนแรก และเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย มีคะแนนเสียงหนาแน่นในจังหวัดนครพนม

สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เรียก พล.อ.ชวลิต ว่า "บิ๊กจิ๋ว" และในพื้นที่ภาคอีสาน เรียก พล.อ.ชวลิต ว่า "พ่อใหญ่จิ๋ว" นอกจากนี้แล้วยังมีอีกฉายาหนึ่งว่า "จิ๋วหวานเจี๊ยบ" จากการมีบุคคลิกพูดจาอ่อนนิ่ม นุ่มนวล

เนื้อหา

[แก้] ประวัติ

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 ที่ จังหวัดนนทบุรีเป็นบุตรของ ร้อยเอกชั้น ยงใจยุทธ และนางสุรีย์ศรี (ละมุน) ยงใจยุทธ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2496 และ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2507

พล.อ.ชวลิต สมรสกับ คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ (ลิมปภมร) มีบุตร 3 คน คือ นายคฤกพล ยงใจยุทธ นางอรพิณ นพวงศ์ (ถึงแก่กรรม) และ พันตำรวจตรีหญิงศรีสุภางค์ โสมกุล

ประวัติการศึกษา และวุฒิกิตติมศักดิ์

การรับราชการ พล.อ.ชวลิต รับราชการทหารเหล่าสื่อสาร เป็นคนแรกๆ ที่แต่งตำราการซ่อมโทรทัศน์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2490-95 เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ลำดับที่ 25 (27 พ.ค. 2529 - 28 มี.ค. 2533) และรักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด (พ.ศ. 2530 - 28 มี.ค. 2533)

การดำรงตำแหน่งทางราชการ

  • พ.ศ. 2503 : ผู้บังคับกองร้อยซ่อมบำรุงเครื่องสื่อสารเขตหลัง กรมการทหารสื่อสาร
  • พ.ศ. 2510 : นายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก กรมการทหารอาสาสมัคร
  • พ.ศ. 2511 : นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกรม กรมยุทธการทหารบก
  • พ.ศ. 2514 : หัวหน้ากอง กรมยุทธการทหารบก
  • พ.ศ. 2522 : นายทหารคนสนิทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประจำกองบัญชาการกองทัพบก
  • พ.ศ. 2524 : เจ้ากรมยุทธการทหารบก
  • พ.ศ. 2525 : ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ
  • พ.ศ. 2526 : รองเสนาธิการทหารบก
  • พ.ศ. 2528 : เสนาธิการทหารบก
  • พ.ศ. 2529 : ผู้บัญชาการทหารบก
  • พ.ศ. 2530 : ผู้บัญชาการทหารบก และ รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด

[แก้] การเมือง

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แล้วเข้าสู่การเมือง ก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี พ.ศ. 2535 พล.อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในผู้ที่ปราศรัยขับไล่ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่สนามหลวง เป็นคนแรกด้วย การเมืองหลังจากนั้น พรรคความหวังใหม่กลายเป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในภาคอีสาน ก่อนที่จะย้ายพรรคมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2544 และ พล.อ.ชวลิต ก็รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรสมัยแรกด้วย

หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต พยายามจะเป็นผู้เสนอตัวไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ "สมานฉันท์" กัน โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง" รวมทั้งมีการข่าวว่าอาจจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน แต่แล้วตำแหน่งนี้ในที่สุดก็ตกเป็นของ นายสมัคร สุนทรเวช

ในรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิตได้เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เจรจากับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะ แต่หลังจากรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้าอาคารรัฐสภา พล.อ.ชวลิตก็ขอลาออกทันที

ในกลางปี พ.ศ. 2552 หลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในกรณีเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แล้วนั้น พล.อ.ชวลิตก็ได้สมัครเข้าสู่พรรคเพื่อไทย โดยให้เหตุผลว่าต้องการเข้ามาเพื่อสมานฉันท์ โดยไม่ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร[1] และหลังจากนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีมติให้ พล.อ.ชวลิตดำรงตำแหน่งประธานพรรค

ต่อมาในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554 ท่ามกลางข่าวลือที่มีมาช่วงระยะหนึ่ง พล.อ.ชวลิตก็ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ คนใกล้ชิดของ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจที่มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าทำกิจกรรมร่วมกับทางแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง และมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนหน้านั้นไม่นาน[2]

ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง :

  • 23 มีนาคม 2527 : สมาชิกวุฒิสภา
  • 22 เมษายน 2530 : สมาชิกวุฒิสภา
  • 30 มีนาคม 2533 : รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รัฐบาลชาติชาย ครม.คณะที่ 45)
  • 22 มีนาคม 2535 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี
  • 15 พฤษภาคม 2535 : ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
  • 13 กันยายน 2535 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี
  • 29 กันยายน 2535 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐบาลชวน ครม.คณะที่ 50)
  • 14 กรกฎาคม 2537 : รองนายกรัฐมนตรี (รัฐบาลชวน ครม.คณะที่ 50)
  • 2 กรกฎาคม 2538 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครพนม
  • 18 กรกฎาคม 2538 : รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รัฐบาลบรรหาร ครม.คณะที่ 51)
  • 17 พฤศจิกายน 2539 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจ ังหวัดนครพนม
  • 25 พฤศจิกายน 2539 : นายกรัฐมนตรี
  • 29 พฤศจิกายน 2539 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รัฐบาลชวลิต ครม.คณะที่ 52)
  • 10 เมษายน 2540 : ประธานคณะผู้บริหารความหวังใหม่
  • 26 พฤศจิกายน 2540 : ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
  • 2 กันยายน 2541 : ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
  • 12 พฤษภาคม 2542 : ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
  • 17 กุมภาพันธ์ 2544 : รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รัฐบาลทักษิณ ครม.คณะที่ 54)
  • 24 กันยายน 2551 - 7 ตุลาคม 2551 : รองนายกรัฐมนตรี ((รัฐบาลสมชาย ครม.คณะที่ 58)
  • 27 ตุลาคม 2552 - 18 เมษายน 2554 : ประธานพรรคเพื่อไทย (ลาออก)[3][4]

[แก้] วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540

รัฐบาลของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรัฐบาลที่มีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ที่ทำให้ประเทศไทยล้มละลาย และ ขยายผลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยรอบ ด้วยการทำเงินคงคลังทั้งหมดของประเทศเข้าไปอุ้มค่าเงินบาท ซึ่งถูกปล่อยขายในขณะนั้น ธุรกิจของเหล่าแกนหลักของรัฐบาลชุดนี้ ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ได้รับผลกระทบต่อวิกฤตกรณ์แต่อย่างใด ในขณะที่ธุรกิจของบุคคลโดยทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง กับคนในรัฐบาลนั้น ได้รับผลกระทบถึงขั้นล้มละลายเป็นจำนวนมาก ทั่วประเทศ

[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้] ข้อวิจารณ์

  • เมื่อครั้งประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 เกิดขึ้นในสมัย พล.อ.ชวลิต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับการวิจารณ์ว่าตัดสินใจอย่างผิดพลาดที่ไปประกาศลดค่าเงินบาท ซึ่งก่อให้เกิดเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับชาติตามมาหลังจากนั้นอย่างวิกฤต ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังจากเกิดมีนักธุรกิจและชนชั้นกลางรวมตัวกันขับไล่ที่ถนนสีลม แต่ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า เหตุใดธุรกิจของคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองร่วมรัฐบาลกลับไม่ได้รับผลกระทบต่อวิกฤตกรณ์แต่อย่างใด ในขณะที่ธุรกิจของบุคคลโดยทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลนั้น ได้รับผลกระทบถึงขั้นล้มละลายเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ [6]
  • ได้รับการวิจารณ์ว่า แม้จะเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกพูดจาอ่อนหวาน น่าฟัง แต่ทว่ากลับพูดไม่รู้เรื่อง หรือมักลืมคำถามหรือสิ่งที่ตนพูดอยู่เสมอ ๆ จนได้รับฉายาว่า "จิ๋ว อัลไซเมอร์"[7]
  • ก่อนการเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทย ได้รับคำเตือนจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีว่า คิดให้ดี อย่าทรยศต่อชาติ[8][9]
  • เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ใด ๆ ที่ พล.อ.ชวลิต รับหน้าที่อยู่ มักจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเสมอ จนได้รับฉายาว่า "พ่อใหญ่ลา"[10]
  • หลังการการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จบลง ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เข้าพบ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ อีกทั้งในขณะนั้นประเทศไทยมีปัญหาระหว่างประเทศกับกัมพูชาอยู่ จนได้รับการกล่าวหาว่า "ขายชาติ"[11][12]
  • ในช่วงการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ได้เสนอทางออกของปัญหา คือ การขอพึ่งพาพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดการวิจารณ์ตามมามากมายว่าไม่บังควรอย่างยิ่ง แม้เจ้าตัวจะได้ปฏิเสธในภายหลังว่ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น[13]

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ 'บิ๊กจิ๋ว'มาแล้ว ปธ.เพื่อไทย ปัด'ทักษิณ'ทาบ
  2. ^ อึดอัดแดงจาบจ้วง!'จิ๋ว'ชี้เหตุทิ้งเพื่อไทยเตรียมแจงใหญ่2วันนี้ จากประชาทรรศน์
  3. ^ 'บิ๊กจิ๋ว'มาแล้ว ปธ.เพื่อไทย ปัด'ทักษิณ'ทาบ
  4. ^ 'บิ๊กจิ๋ว'ลาออกเพื่อไทย-อีก2วันแถลงใหญ่ จากกรุงเทพธุรกิจ
  5. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๑๓, ตอน ๒๒ ข เล่ม ๐๐๓, ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙, หน้า ๒ ลำดับที่ ๒
  6. ^ บทสุดท้ายของโภคิน “ทักษิณ” ทำนาบนหลังคนบทความจากโอเคเนชั่น
  7. ^ ใครว่า...บิ๊กจิ๋ว เป็นอัลไซเมอร์!!!???
  8. ^ เตือนบิ๊กจิ๋ว คิดให้รอบคอบเข้าเพื่อไทย
  9. ^ บิ๊กจิ๋วโต้'ป๋าเปรม'ไม่เคยทรยศชาติ
  10. ^ แนะ"พ่อใหญ่จิ๋ว"เปลี่ยนฉายาเป็น"พ่อใหญ่ลา" จากคมชัดลึก
  11. ^ 'จิ๋ว'ย้อนรัฐบาลอย่ารีบตัดสินใจหาว่าขายชาติจากกรุงเทพธุรกิจ
  12. ^ 40 ส.ว.เตือน "จิ๋ว-พท." ชักศึกเข้าบ้านระวังไทยพัง
  13. ^ 'จิ๋ว'เดือดปัด'หน.ล้มเจ้า' ย้ำยังเฝ้ารอพระบารมีอยู่ ฉะมาร์ค-เทพอาชญากร เน:ให้ดูข่าวจิ๋วหมวกแดง

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

สมัยก่อนหน้า ชวลิต ยงใจยุทธ สมัยถัดไป
บรรหาร ศิลปอาชา 2leftarrow.png Seal Prime Minister of Thailand.png
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ครม.52)
(25 พฤศจิกายน พ.ศ. 25399 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540)
2rightarrow.png ชวน หลีกภัย
บรรหาร ศิลปอาชา 2leftarrow.png Seal Prime Minister of Thailand.png
ผู้บัญชาการทหารบก
(27 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2533)
2rightarrow.png ชวน หลีกภัย
ประมาณ อดิเรกสาร
ชวน หลีกภัย
2leftarrow.png Seal Prime Minister of Thailand.png
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย
(15 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2535)
(26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 - 2 มิถุนายน พ.ศ. 2541)
(2 กันยายน พ.ศ. 2541 - 27 เมษายน พ.ศ. 2542)
(12 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 - 30 เมษายน พ.ศ. 2543)
2rightarrow.png ประมาณ อดิเรกสาร
ชวน หลีกภัย


เครื่องมือส่วนตัว

สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ
ป้ายบอกทาง
มีส่วนร่วม
พิมพ์/ส่งออก
เครื่องมือ
ภาษาอื่น