สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
|
---|---|
พระบรมนามาภิไธย | พระเฑียรราชา |
พระปรมาภิไธย | สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์สุพรรณภูมิ |
ครองราชย์ | พ.ศ. 2091 - พ.ศ. 2111 |
ระยะครองราชย์ | 20 ปี |
รัชกาลก่อนหน้า | ขุนวรวงศาธิราช |
รัชกาลถัดไป | สมเด็จพระมหินทราธิราช |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 2048 |
สวรรคต | พ.ศ. 2111 |
พระราชบิดา | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 |
พระอัครมเหสี | สมเด็จพระศรีสุริโยทัย |
พระราชโอรส/ธิดา | พระราเมศวร พระมหินทร์ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระบรมดิลก พระเทพกษัตรี พระแก้วฟ้า พระศรีเสาวราช |
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ พระเจ้าช้างเผือก พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 15 แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบารมีมากเพราะทรงมีช้างเผือกในครอบครองถึง 7 เชือก[ใครกล่าว?]
[แก้] พระนามเต็ม
"พระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมหาจักรพรรดิวรรยราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราชรัตนกาศภาสกรวงศ์ องค์บรมาธิเบศร์ ตรีภูวเนตรวรนาถนายกดิลกรัตนราชชาติอาชาวไสย สมุทัยตโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทราธาดาธิบดีศรีวิบูลย์คุณรุจิตร ฤทธิราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเชษฐวิสุทธมงกุฎเทศคตาม หาพุทธางกุรบรมพิบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว พระมหานครทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์"
[แก้] ก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จพระราชสมภพเมื่อพ.ศ. 2048 ทรงมีพระนามเดิมว่า พระเยาวราช ต่อมาคือพระเฑียรราชา สัณนิษฐานว่าทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 อันประสูติจากสนม และทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาของสมเด็จพระไชยราชาธิราชพระองค์ทรงมีพระอัครมเหสีคือสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาห้าพระองค์คือ พระราเมศวร พระมหินทร์ พระสวัสดิราช พระบรมดิลก และพระเทพกษัตรี ทรงมีที่ประทับอยู่ที่วังชัย ในกรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยสมเด็จพระยอดฟ้า พระเฑียรราชาทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคู่กันกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ต่อมาเพื่อหลบหลีกความกดดันจากท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้เสด็จออกผนวช ณ วัดราชประดิษฐาน จนถึงสมัยขุนวรวงศาธิราชได้ครองกรุงศรีอยุธยา
[แก้] การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อ พ.ศ. 2091 ขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจขวาและคณะได้กำจัดขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้อัญเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาผนวชและขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
[แก้] การปูนบำเหน็จผู้มีความดีความชอบ
เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ทรงแต่งตั้งขุนนางผู้มีความดีความชอบหลายคน
- ขุนพิเรนทรเทพ สถาปนาเป็น สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลกแล้วพระราชทานพระสวัสดิราช รั้งตำแหน่งพระวิสุทธิกษัตรีย์ ให้เป็นพระอัครมเหสี
- ขุนอินทรเทพ แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช
- หลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยามหาเสนาบดี ที่สมุหกลาโหม
- หมื่นราชเสน่หา แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยามหาเทพ
- หมื่นราชเสน่หานอกราชการ แต่งตั้งเป็นพระยาภักดีนุชิต
- พระยาพิชัย แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาพิชัย
- พระยาสวรรคโลก แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาสวรรคโลก
[แก้] ศึกพระสุริโยทัยขาดคอช้าง
-
ดูบทความหลักที่ สงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้
ในปี พ.ศ. 2091 หลังจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ได้เพียงเจ็ดเดือน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งนี้เป็นที่กระฉ่อนไปทั่ว จนทราบไปยังพระกรรณพระเจ้าหงสาวดีพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่าทรงพระราชดำริว่า ทางกรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เห็นเป็นโอกาสที่จะแผ่อำนาจมายังกรุงศรีอยุธยา จึงได้ยกกองทัพใหญ่มาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี (บางพงศาวดารบอกว่า พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ได้เสด็จมาทอดพระเนตรกำแพงเมืองอยุธยาก่อนหน้านี้มาครั้งหนึ่งแล้ว เพื่อประเมินกำลังศึก) โดยตั้งค่ายหลวงที่ตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราชาบุเรงนองตั้งที่เพนียด ทัพพระเจ้าแปรตั้งที่บ้านใหม่มะขามหย่อง ทัพพระยาพะสิม ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งวรเชษฐ์
ในวันอาทิตย์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2092 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จออกไปดูลาดเลากำลังศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง พร้อมกับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระราเมศวร และพระมหินทร์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้กระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่งเสียที สมเด็จพระสุริโยทัยจึงทรงไสช้างเข้าขวางช้างข้าศึก เพื่อป้องกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าแปรได้ทีจึงฟันสมเด็จพระสุริโยทัยด้วยของ้าว สิ้นพระชนม์บนคอช้าง พระราเมศวรและพระมหินทร์ ได้ขับช้างเข้ากันพระศพกลับเข้าพระนคร
ในการต่อสู้กับข้าศึกในขั้นต่อไป สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้นำปืนใหญ่นารายณ์สังหาร ลงเรือสำเภาแล่นไปตามลำน้ำโจมตีข้าศึกที่ตั้งล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ อำนาจการยิงของปืนใหญ่ทำให้ฝ่ายพม่าล้มตายเป็นอันมาก ประกอบกับเป็นเวลาใกล้ฤดูฝน และเสบียงอาหารร่อยหรอลง อีกทั้งทางฝ่ายพม่าได้ข่าวว่า มีกองทัพไทยจากหัวเมืองเหนือยกมาสนับสนุน เกรงว่าจะถูกตีกระหนาบ จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองจะยกทัพกลับ แม่ทัพทั้งหลายเห็นควรจะยกทัพกลับทางด่านเจดีย์สามองค์ (กาญจนบุรี) แต่พระเจ้าตเบ็งชเวตี้เห็นว่าทางที่ยกมานั้น ทรงทำลายเสบียงอาหารเสียหมดแล้ว ถ้ายกไปทางนี้จะประสบปัญหาขาดแคลน และจะถูกทหารไทยยกมาซ้ำเติมลำบากอยู่ จึงทรงให้ยกทัพขึ้นไปทางด่านแม่ละเมา (ตาก) เพื่อตีทัพของพระมหาธรรมราชาด้วยไพร่พลนั้นน้อยนัก และจะได้แย่งเสบียงมา เมื่อปะทะกับกองทัพของพระมหาธรรมราชาและพระราเมศวร ไล่ติดตามไปจนเกือบถึงเมืองกำแพงเพชร ฝ่ายพม่าได้ทำอุบายซุ่มกำลังไว้ทั้งสองข้างทาง พอกองทัพกรุงศรีอยุธยาถลำเข้าไป จึงได้เข้าล้อมไว้ จับได้ทั้งพระมหาธรรมราชา และพระราเมศวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิต้องทรงขอหย่าศึก และไถ่ตัวคืนโดยแลกกับช้างชนะงาสองเชือกคือ พลายศรีมงคลกับพลายมงคลทวีป จากนั้นกองทัพม่าก็ถอยกลับไปยังหงสาวดี
ส่วนการพระศพสมเด็จพระสุริโยทัยนั้นเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้วโปรดให้ตั้งการพระราชพิธีพระราชทานเพลิง ณ สวนหลวง และให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงเป็นพระอารามเพื่ออุทิศ พระราชกุศลพระราชทาน แด่สมเด็จพระอัครมเหสี ประกอบด้วยพระเจดีย์ พระวิหาร แล้วพระราชทานนามพระอารามอันเป็นพระราชานุสรณ์แห่งสมเด็จพระสุริโยทัยแห่งนี้ว่า วัดสบสวรรค์ ในปัจจุบันชื่อ วัดสวนหลวงสบสวรรค์
[แก้] พระราชกรณีกิจเรื่องการเตรียมป้องกันพระนคร
ในระหว่างปี พ.ศ. 2092 - พ.ศ. 2106 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ปรับปรุงกิจการทหาร และเสริมสร้างบ้านเมืองให้มั่นคงแข็งแรงกว่าเดิม ยุทธศาสตร์ในการป้องกันคือ ใช้พระนครเป็นที่มั่น
[แก้] การก่อกำแพงพระนคร
เมื่อพ.ศ. 2092 ทรงให้ก่อกำแพงพระนครศรีอยุธยาก่ออิฐถือปูนตามแบบฝรั่งเป็นครั้งแรก จากเดิมที่ถมดินเป็นเชิงเทินแล้วปักเสาไม้ระเนียดด้านบน
[แก้] การรื้อกำแพงเมือง
โปรดให้รื้อกำแพงเมืองหน้าด่านชั้นนอกออก 3 เมืองคือ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี และเมืองนครนายก เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกอาศัยเป็นที่ตั้งมั่น
[แก้] การขุดคลอง
โปรดให้ขุดคลองมหานาคเป็นคูเมืองออกไปถึงชายทุ่งภูเขาทอง คาดว่าเริ่มขุดตั้งแต่ศึกพระสุริโยทัยขาดคอช้างแต่เพิ่งมาเสร็จ
[แก้] การสำรวจบัญชีสำมะโนครัว
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้สำรวจบัญชีสำมะโนครัวใหม่ ตามหัวเมืองชั้นในทุกหัวเมือง ทำให้ทราบจำนวนชายฉกรรจ์ที่สามารถทำการรบได้
[แก้] การตั้งเมืองใหม่
ทรงตั้งเมืองใหม่ขึ้น 3 เมือง เพื่อให้เป็นที่รวมพลและง่ายต่อการเกณฑ์เข้าพระนคร
- ยกตลาดขวัญเป็น เมืองนนทบุรี
- ยกบ้านท่าจีนเป็น เมืองสาครบุรี
- แบ่งเอาเขตเมืองราชบุรีกับเมืองสุพรรณบุรีเป็น เมืองนครชัยศรี
[แก้] การสร้างเรือรบ
พ.ศ. 2095 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้แปลงเรือแซ (เรือยาวตีกรรเชียง ใช้คนพาย ประมาณ 20 คน) เป็นเรือชัย (เรือที่มีปืนใหญ่ยิงได้ที่หัวเรือ) และหัวสัตว์ คือการพัฒนาเรือรบนั่นเอง ซึ่งก็คือเรือที่ใช้ในพระราชพิธีปัจจุบัน
[แก้] การหาช้างสำหรับทำสงคราม
โปรดให้จับช้างเข้ามาใช้ในราชการ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงสามารถจับช้างเผือกได้ถึงเจ็ดเชือก จึงได้รับขนานพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก อีกพระนามหนึ่ง
[แก้] สงครามกับเขมร
พ.ศ. 2099 ในเดือน 12 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้แต่งทัพไปตีเมืองละแวก พระยาองค์ (โอง) สวรรคโลก (เชื่อว่าเป็นคนเดียวกับพระยาสวรรคโลกที่กำจัดขุนวรวงศาธิราช) เป็นทัพหลวง ยกทัพ 30,000 ให้พระมหามนตรีถืออาชญาสิทธิ์ พระมหาเทพถือวัวเกวียน ให้พระยาเยาวเป็นแม่ทัพเรือ แต่ลมพัดไม่เป็นใจทัพเรือจึงตามทัพบกไม่ทัน พระยารามลักษณ์แม่ทัพบกได้เข้าตีเขมรในตอนกลางคืน แต่เสียทีถอยหนีมาถึงทัพใหญ่ ในศึกนี้เสียพระยาองค์ (โอง) สวรรคโลกกับไพร่พลอีกจำนวนมาก
[แก้] กบฏพระศรีศิลป์
ประมาณ พ.ศ. 2098 พระศรีศิลป์ พระโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์มีอายุได้ 14 ปี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้บวชเป็นสามเณรอยูที่วัดราชประดิษฐานแต่พระศรีศิลป์กลับวางแผนก่อกบฏและถูกจับได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงไม่ประหารแต่ให้คุมตัวไว้ที่วัดธรรมิกราช
จนถึง พ.ศ. 2104 พระศรีศิลป์มีอายุครบ 20 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ (พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ กล่าวว่าตอนนั้นบวชอยูที่วัดมหาธาตุ แต่พระศรีศิลป์หนีไปซุ่มพลอยู่ตำบลม่วงมดแดง จึงรับสั่งให้เจ้าพระยามหาเสนาบดีไปตาม
ฝ่ายพระศรีศิลป์จึงยกกองทัพมาก่อกบฏ เข้ากรุงศรีอยุธยามาในวันพฤหัสบดี แรม 14 ค่ำ เดือน 8 วันรุ่งขึ้นพระศรีศิลป์เข้าพระราชวังได้ครั้งนั้นได้ แต่พระศรีศิลป์ถูกปืนยิงตายในพระราชวัง ผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อการทั้งหมดถูกนำไปประหารชีวิตเหตุการณ์จึงเข้าสู่ภาวะปกติ
[แก้] สงครามช้างเผือก
พระเจ้าบุเรงนอง ผู้ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งหงสาวดีต่อจากพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ทราบเรื่องช้างเผือก จึงส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นมาขอพระราชทานช้างเผือกสองเชือก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้เหตุผลเชิงปฏิเสธเพราะทรงเห็นด้วยกับพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงคราม พระเจ้าบุเรงนองจึงถือสาเหตุนั้น ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อพ.ศ. 2106 ด้วยกำลังพลสองแสนคน จัดเป็นทัพกษัตริย์หกทัพ ได้เตรียมทัพเรือพร้อมปืนใหญ่กับจ้างชาวโปรตุเกสอาสาสมัคร 400 คน เป็นทหารปืนใหญ่ ให้เมืองเชียงใหม่สนับสนุนเสบียงอาหาร โดยลำเลียงมาทางเรือ เปลี่ยนเส้นทางเดินทัพมาทางด่านแม่ละเมา เข้าตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยมาตามลำดับเพื่อตัดกำลังที่จะยกมาช่วยกรุงศรีอยุธยา
ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาเตรียมตัวป้องกันพระนคร โดยคาดว่าพม่าจะยกกำลังมาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองตีเมืองกำแพงเพชร สวรรคโลก สุโขทัย พิชัย และพิษณุโลกได้ ครั้นลงมาถึงเมืองชัยนาท กองทัพพม่าก็ได้ปะทะกับกองทัพกรุงศรีอยุธยาของพระราเมศวร แต่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาต้านทานไม่ได้ต้องถอยกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่าได้เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ แล้วระดมยิงปืนใหญ่เข้าในพระนครทุกวัน จนราษฎรได้รับความเดือดร้อนและเสียขวัญ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต้องเสด็จไปเจรจากับพระเจ้าบุเรงนอง ที่พลับพลาบริเวณตำบลวัดหน้าพระเมรุ กับวัดหัสดาวาส ยอมเป็นไมตรี โดยได้มอบช้างเผือก 4 เชือก พร้อมกับพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามให้แก่พม่า โดยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงต่อรองขอดินแดนของอยุธยาทั้งหมดที่พระเจ้าบุเรงนองยึดไว้คืน พระเจ้าบุเรงนองก็ถวายคืนแต่โดยดี จากนั้นพม่าก็ถอยกลับไปหงสาวดี
[แก้] กบฏปัตตานี
หลังสงครามช้างเผือก มุซาฟาร์ ชาฮฺ สุลต่านแห่งปัตตานี ยกทัพมาช่วยกรุงศรีอยุธยา เมื่อกองทัพปัตตานีมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ปรากฏว่ากองทัพพม่าได้ล่าถอยออกไปแล้ว สุลต่านมุซาฟาร์ ชาฮฺได้นำกองทัพชาวมลายูเข้าไปพักในกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างที่พักอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้นได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกองทัพมลายูปัตตานีกับกองทัพสยาม จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้น สุลต่านมุซาฟาร์ ชาฮฺ นำกองทัพเข้ายึดพระราชวังได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงต้องเสด็จหนีไปที่เกาะมหาพราหมณ์แล้วจึงรวบรวมกำลังเข้าตีตอบโต้ กองทัพปัตตานีต้องถอยร่นออกมาถึงปากอ่าว สุลต่านมุซาฟาร์ ชาฮฺ สิ้นพระชนม์ขณะยกทัพกลับพระศพถูกฝังไว้ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากอ่าว
[แก้] การเสียพระเทพกษัตรี
พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐา กษัตริย์แห่งล้านช้างทรงต้องการเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งทูตมาขอพระเทพกษัตรีพระธิดาองค์เล็กไปเป็นพระชายา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงรับไมตรีแต่ตอนนั้นพระเทพกษัตรีทรงพระประชวร พระองค์จึงส่งพระแก้วฟ้าพระธิดาที่เกิดจากสนมไปถวายแทน
เมื่อพระไชยเชษฐาทรงทราบว่าไม่ใช่พระเทพกษัตรีจึงถวายพระแก้วฟ้าคืนใน พ.ศ. 2107 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงส่งพระเทพกษัตรีย์ไปยังล้านช้างแต่พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบเข้าจึงส่งทหารไปชิงตัวพระเทพกษัตรีมา
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงทราบก็ทรงเสียพระทัย จึงเสด็จไปประทับที่วังหลัง ให้พระมหินทร์พระโอรสว่าราชการแทน เมื่อพระชนมายุประมาณ 59 พรรษา ต่อมาได้เสด็จออกผนวชใน พ.ศ. 2109 โดยมีข้าราชการออกบวชด้วยจำนวนมาก
[แก้] ว่าราชการอีกครั้ง
พระมหินทร์ ทรงได้ว่าราชการแทน ต่อมาทรงมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับพระมหาธรรมราชาจนเกิดความร้าวฉานระหว่างพิษณุโลกกับกรุงศรีอยุธยาเนื่องจากพระองค์สมคบพระไชยเชษฐาไปตีเมืองพิษณุโลก จนพระองค์มิอาจรั้งราชการแผ่นดินจึงทูลเชิญให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิลาผนวชหลังจากที่ทรงผนวชได้ไม่นาน แล้วกลับมาว่าราชการตามเดิม
พระองค์กับพระมหินทร์เสด็จขึ้นไปเมืองพิษณุโลก ขณะที่พระมหาธรรมราชาเสด็จไปหงสาวดีแล้วนำพระวิสุทธิกษัตรีพร้อมด้วยพระเอกาทศรถมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อพระมหาธรรมราชาทราบเรื่องจึงให้ไปเข้ากับหงสาวดีอย่างเปิดเผย
[แก้] สงครามเสียกรุง
ใน พ.ศ. 2111 พม่าได้ยกกองทัพใหญ่เจ็ดกองทัพโดยมีทัพเมืองพิษณุโลกอยู่ด้วย มีกำลังห้าแสนคน เดินทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้งสี่ด้าน โดยมุ่งตีหักเข้ามาทางด้านทิศตะวันออก ซี่งเป็นด้านที่คูเมืองแคบสุด และใช้กำลังทางเรือปิดกั้นลำน้ำทางตอนใต้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยติดต่อกับหัวเมืองทางใต้และต่างประเทศ
[แก้] การเสด็จสวรรคต
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงพระประชวรหนักประมาณ 25 วันและเสด็จสวรรคตในขณะที่พม่าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ เมื่อ พ.ศ. 2111 พระชนมายุ 64 พรรษา ครองสิริราชสมบัติได้ 20 ปี กรุงศรีอยุธยาแตกหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตได้ไม่นาน
[แก้] อ้างอิง
- วิชาการ.คอม
- หอมรดกไทย
- บทความเพื่อความสมานฉันท์ : เกร็ดความรู้จาก “ประวัติศาสตร์สยาม-ปัตตานี”
- พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์อธิบายประกอบ สำนักงานพิมพ์โอเดียนสโตร์ จัดพิมพ์จำหน่าย พ.ศ. ๒๕๑๐
- ไทยรบพม่า เล่ม ๑ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สำนักงานพิมพ์อักษรเจริญทัศน์ จัดพิมพ์จำหน่าย พ.ศ. ๒๕๔๖
- พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ สำนักงานพิมพ์คลังวิทยา จัดพิมพ์จำหน่าย พ.ศ. ๒๕๑๐
[แก้] ดูเพิ่ม
สมัยก่อนหน้า | สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ | สมัยถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ขุนวรวงศาธิราช (พ.ศ. 2091) |
พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 2091 - พ.ศ. 2111)) |
สมเด็จพระมหินทราธิราช ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 2111 - พ.ศ. 2112) |
|