วันที่ พุธ สิงหาคม 2551

พิมพ์หน้านี้  |  ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation

 

ชวนทัศนา...อ่าวพังงา...เพลินตาเพลินใจ


เมื่อเอ่ยถึงพังงาฉันจะนึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งอยู่เสมอ นั่นก็คือ "ตะวันขึ้นที่อ่าวพังงา" ของ เพ็ญแข วงศ์สง่า ถ้าจำไม่ผิดเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของคนคู่หนึ่งที่เริ่มจากรักกัน แต่งงานกัน มีลูก ทะเลาะกัน หย่ากัน และจบลงด้วยการปรับความเข้าใจกัน ความหมายของชื่อเรื่องน่าจะประมาณว่าไม่น่าจะเห็นตะวันขึ้นที่อ่าวพังงาซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก แต่ท้ายที่สุดตะวันก็ขึ้นที่อ่าวพังงาจนได้อะไรประมาณนั้น

นิยายน่ะอ่านไปเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว แต่จังหวัดพังงาเนี่ยได้ไปเมื่อครั้งแรกเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา (แหม หมู่นี้รำลึกแต่ความหลังสงสัยจังว่าตัวเองจะแก่แล้ว) จำได้ว่าเป็นวันหยุดยาวในหน้าฝน แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงวันเข้าพรรษาหรือว่าวันปิยะมหาราช ไปเที่ยวบ้านคุณอาของเพื่อน ส่วนใหญ่จึงใช้เวลาอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก ดีที่ว่าบ้านคุณอาอยู่ในสนามกีฬา มีพื้นที่กว้างขวางเลยมีที่ให้เดินเล่นมากจนไม่น่าเบื่อ สถานที่เที่ยวเท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นไปชมวิวเขาช้าง ชมสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ที่ต้องมุดลอดเข้าไปในช่องเขาแปลกตา ไหว้พระที่วัดสุวรรณคูหา และสุดท้ายก็ได้ล่องเรือที่อ่าวพังงาก่อนกลับบ้าน ตอนที่ลงนั่งในเรือหางยาวนำเที่ยว ใจก็หวั่นเล็กๆ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่เมื่อเรืออกมาสักพักความสวยงามของอ่าวพังงาก็บดบังความกลัวไปจนหมดสิ้น อีกทั้งบางช่วงยังเห็นชาวประมงยืนอยู่ในน้ำความลึกไม่ถึงเอวยิ่งสบายใจ เข้าข้างตัวเองไว้ก่อนล่ะว่าอ่าวพังงามันคงไม่ลึกนักล่ะมั้ง....

ครั้งที่สองเพื่อนชวนไปหมู่เกาะสุรินทร์ ต้องไปขึ้นเรือที่คุระบุรี ตอนที่ไปถึงท่าเรือฝนเริ่มตกลงมาแล้ว ออกเรือไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องย้อนกลับเข้าฝั่งเพราะคลื่นแรงมาก แม้ต้องติดฝั่งอยู่ 1 คืน แต่ในที่สุดวันรุ่งขึ้นฟ้าก็เปิดได้ไปดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์จนได้ สวยและประทับใจอีกเช่นกัน


4 กรกฎาคม 2551

วันนี้อยู่ดีๆ ก็มีคนมาชวนไปเที่ยวอ่าวพังงาค่ะ ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว น่าเสียดายอยู่นิดตรงที่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ติดเจ้าดิจิม่อนมาด้วย แต่ก็ได้โอกาสทดลองใช้กล้องมือถือ Nokia 6300 ซึ่งเมื่อกดปุ๊ปเห็นภาพปั๊บชัดเจนสดสวย แต่พอมาโหลดลงคอมฯ แล้วใจจะสลาย ก็ภาพมันแตกและสีเพี้ยนจนไม่อยากมองซ้ำสอง แต่ก็ลองเลือกมาให้ดูกันค่ะ

เราไปถึงท่าเรือ (ชื่ออะไรหว่า?) ประมาณสิบโมงเช้า ในชุดพร้อมรบ เอ้ย ชุดที่พร้อมจะลงเรืออย่างที่สุด เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ถุงเท้า รองเท้าเซฟตี้หนักสองข้างหนักรวมกันสักกิโลกว่าๆ เอาเถอะน่า มันก็อย่างนี้ทุกทีแหละ

ในยุคน้ำมันแพงค่าเหมาเรือเพิ่มขึ้นมาเกิน 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับครั้งแรก คนที่ท่าเรือบอกว่าวันนี้พวกเราโชคดีมากๆ เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกทุกวัน

จากท่าเรือเราก็มุ่งออกทะเลไปเรื่อยๆ ยังไม่ใช่เวลาน้ำลงระดับน้ำค่อนข้างสูง และดูจะขุ่นเล็กน้อยอาจเพราะมีฝนตกตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใส ฟ้าสีฟ้าถูกทาด้วยปุยเมฆสีขาว ทะเลราบเรียบ ภูเขารูปร่างแปลกตา ต้นไม้สีเขียว โอ้ย บรรยากาศสดใสชนิดบรรยายไม่ถูกเลยค่ะ

เรือเล่นไปเรื่อยๆ ส่วนฉันก็เก็บภาพ น้ำ ฟ้า ภูเขา ป่าชายเลนที่แสนสมบูรณ์ไปตลอดทาง ธรรมชาติของอ่าวพังงายังน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนเดิม...

"ถ้ำลอด"

ลอดถ้ำ

เรือพาเราลอดผ่านถ้ำลอดประตูธรรมชาติซึ่งมีหินงอกหินย้อยที่น่าจะสวยงามทีเดียว (ถ้ามองเห็นได้ชัดเจนกว่านี้) แม้เรือจะมีหลังคาแต่ฉันก็ยังแอบหดหัวลงเล็กน้อยด้วยความเคยชิน

ข้างเราก็คือ "เขาพิงกัน"

เราเริ่มขึ้นจากเรือที่เขาพิงกัน จำได้ว่าครั้งแรกฉันขึ้นเรือทางสะพานด้านหน้าเกาะ และเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติด้วย ครั้งนี้เราอ้อมไปขึ้นทางหาดด้านหลัง (หรือเปล่าน้า) ตรงที่มีขายของที่ระลึก และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ

เขาพิงกัน + ฉันพิงเธอ

ขึ้นจากเรือมาได้ก็โฉบไปชมเขาพิงกันและฉันพิงเธอ แต่ก็ไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานหรอกค่ะ เพราะเริ่มเกิดอาการพาลจะอิจฉาเขากับเธอซะแล้ว เลยต้องเปลี่ยนทำเลไปนั่งโจ้ปลาหมึกย่างแกล้มวิวเขาตะปู ดูลีลานายแบบนางแบบโพสต์ท่าถ่ายรูปกับนายตะปูไม่รู้เบื่อแทน...

เขาตะปู หรือชื่อเล่นเป็นภาษาฝรั่งว่า "เจมส์"

วิวสวยแบบนี้ปลาหมึกเจ้าไหนก็อร่อย

หลากหลายลีลาของบรรดานายแบบ

เดาง่ายๆ ฝั่งซ้ายน่ะคนไทยชัวร์

เขาตะปู อันแค่เนี้ย!

ถึงแม้เราจะยังไม่เบื่อกับธรรมชาติตรงหน้าแต่คาดว่าคนขับเรืออาจจะเบื่อเราซะก่อนได้ อีกทั้งปลาหมึกย่างก็สลายหายไปในท้องหมดแล้ว เราจึงกลับลงเรืออีกครั้ง

สนุกกับกิจกรรมสำรวจถ้ำ

เรือพาเราห่างออกมาจากเขาพิงกันสักพัก ก็ลอดผ่านประตูธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่เกาะทะลุนอก กิจกรรมที่น่าสนุกแต่ไม่ได้ทำที่เกาะนี้ก็คือ การพายเรือแคนูสำรวจถ้ำ นักท่องเที่ยวจะมาเช่าเรือแคนูจากเรือเฟอรี่ลำใหญ่ซึ่งจะนั่งได้ลำละ 3 คน คือ นักท่องเที่ยว 2 ฝีพาย 1เวลาปล่อยเรือลงน้ำพร้อมๆ กันมองดูเหมือนหนอนหลากสียั้วเยี้ยไปหมด

"เกาะปันหยี"

มาถึงเกาะปันหยีเกินเวลาอาหารกลางวันไปมากซึ่งคงมีส่วนทำให้อาหารมือนี้อร่อยชนิดแม่ช้อยไม่ต้องมาการันตีกันเลยล่ะ ร้านอาหารที่เกาะปันหยีนี้มีมากมายและค่อนข้างใหญ่โต รอบๆ ร้านเต็มไปด้วยกระชังสัตว์น้ำชนิดต่างๆ เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ช้อปปิ้งของที่ระลึกจากเกาะปันหยีติดไม้ติดมือมาบ้าง

ออกจากเกาะปันหยีก็เป็นช่วงเวลาแห่งการทัศนาเพื่ออำลาอ่าวพังงา เราต่างนั่งเงียบๆ ชมความงาม ซึมซับความสดชื่นรื่นรมณ์ของธรรมชาติ

ตอนนี้น้ำลงแล้วรากของต้นโกงกางและผองเพื่อนยืนเก้งก้างอยู่สองข้างทางเข้าสู่ฝั่ง บ่ายสองโมงกว่าๆ  เราก็กลับมาถึงท่าเรือ

เอ เหมือนจะพลาดอะไรไปสักอย่าง เขาหมาจู แล้วก็เขาเขียนที่มีภาพเขียนก่อนแประวัติศาสตร์ เออ ใช่มันอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย ทำไงได้ล่ะฝากไว้ก่อนแล้วกันเนอะ

ความสวยของอ่าวพังงายังติดตามาถึงทุกวันนี้...

หวังวันหน้าคงมีโอกาสมาดู "ตะวันขึ้นที่อ่าวพังงา" กับเขาบ้าง...

มาร์ชพังงา

รุ่งอรุณทอฟ้า พังงายังงาม   ทั่วเขตคามเป็นศรีเชิดชู

สัญลักษณ์ร้อยเรียงเคียงคู่   เรือขุดแร่เขาตะปูเขาช้าง

แร่หมื่อนล้านเกลื่อนตามีคราคร่ำ    บ้านกลางน้ำ คลื่นไล้พรายพร่าง

ถ้างามตาภูผาแปลกต่าง    สุดสะอางหมู่แมกไม้จำปูน

ล้วนบริบูรณ์ด้วยทรัพยากร    ในลุ่มในดอนจำรูญ

ชาวพังงาล้วนมีเมตตาเกื้อกูล      น้อมเทิดทูนชาติศาสนาราชัน


โดย มารูโกะ

 

กลับไปที่ http://www.oknation.net/blog/