เมื่อเอ่ยถึงพังงาฉันจะนึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งอยู่เสมอ
นั่นก็คือ "ตะวันขึ้นที่อ่าวพังงา" ของ เพ็ญแข วงศ์สง่า
ถ้าจำไม่ผิดเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของคนคู่หนึ่งที่เริ่มจากรักกัน แต่งงานกัน
มีลูก ทะเลาะกัน หย่ากัน
และจบลงด้วยการปรับความเข้าใจกัน ความหมายของชื่อเรื่องน่าจะประมาณว่าไม่น่าจะเห็นตะวันขึ้นที่อ่าวพังงาซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก
แต่ท้ายที่สุดตะวันก็ขึ้นที่อ่าวพังงาจนได้อะไรประมาณนั้น
นิยายน่ะอ่านไปเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว
แต่จังหวัดพังงาเนี่ยได้ไปเมื่อครั้งแรกเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา (แหม
หมู่นี้รำลึกแต่ความหลังสงสัยจังว่าตัวเองจะแก่แล้ว)
จำได้ว่าเป็นวันหยุดยาวในหน้าฝน
แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงวันเข้าพรรษาหรือว่าวันปิยะมหาราช
ไปเที่ยวบ้านคุณอาของเพื่อน
ส่วนใหญ่จึงใช้เวลาอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก
ดีที่ว่าบ้านคุณอาอยู่ในสนามกีฬา
มีพื้นที่กว้างขวางเลยมีที่ให้เดินเล่นมากจนไม่น่าเบื่อ
สถานที่เที่ยวเท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นไปชมวิวเขาช้าง
ชมสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ที่ต้องมุดลอดเข้าไปในช่องเขาแปลกตา
ไหว้พระที่วัดสุวรรณคูหา
และสุดท้ายก็ได้ล่องเรือที่อ่าวพังงาก่อนกลับบ้าน
ตอนที่ลงนั่งในเรือหางยาวนำเที่ยว ใจก็หวั่นเล็กๆ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น
แต่เมื่อเรืออกมาสักพักความสวยงามของอ่าวพังงาก็บดบังความกลัวไปจนหมดสิ้น
อีกทั้งบางช่วงยังเห็นชาวประมงยืนอยู่ในน้ำความลึกไม่ถึงเอวยิ่งสบายใจ
เข้าข้างตัวเองไว้ก่อนล่ะว่าอ่าวพังงามันคงไม่ลึกนักล่ะมั้ง....
ครั้งที่สองเพื่อนชวนไปหมู่เกาะสุรินทร์ ต้องไปขึ้นเรือที่คุระบุรี
ตอนที่ไปถึงท่าเรือฝนเริ่มตกลงมาแล้ว
ออกเรือไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องย้อนกลับเข้าฝั่งเพราะคลื่นแรงมาก
แม้ต้องติดฝั่งอยู่ 1 คืน
แต่ในที่สุดวันรุ่งขึ้นฟ้าก็เปิดได้ไปดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์จนได้
สวยและประทับใจอีกเช่นกัน
4 กรกฎาคม 2551
วันนี้อยู่ดีๆ ก็มีคนมาชวนไปเที่ยวอ่าวพังงาค่ะ ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว
น่าเสียดายอยู่นิดตรงที่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ติดเจ้าดิจิม่อนมาด้วย
แต่ก็ได้โอกาสทดลองใช้กล้องมือถือ Nokia 6300
ซึ่งเมื่อกดปุ๊ปเห็นภาพปั๊บชัดเจนสดสวย แต่พอมาโหลดลงคอมฯ แล้วใจจะสลาย
ก็ภาพมันแตกและสีเพี้ยนจนไม่อยากมองซ้ำสอง
แต่ก็ลองเลือกมาให้ดูกันค่ะ
เราไปถึงท่าเรือ (ชื่ออะไรหว่า?) ประมาณสิบโมงเช้า ในชุดพร้อมรบ
เอ้ย ชุดที่พร้อมจะลงเรืออย่างที่สุด เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ถุงเท้า
รองเท้าเซฟตี้หนักสองข้างหนักรวมกันสักกิโลกว่าๆ เอาเถอะน่า
มันก็อย่างนี้ทุกทีแหละ
ในยุคน้ำมันแพงค่าเหมาเรือเพิ่มขึ้นมาเกิน 2
เท่าตัวเมื่อเทียบกับครั้งแรก คนที่ท่าเรือบอกว่าวันนี้พวกเราโชคดีมากๆ
เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกทุกวัน
จากท่าเรือเราก็มุ่งออกทะเลไปเรื่อยๆ
ยังไม่ใช่เวลาน้ำลงระดับน้ำค่อนข้างสูง
และดูจะขุ่นเล็กน้อยอาจเพราะมีฝนตกตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใส
ฟ้าสีฟ้าถูกทาด้วยปุยเมฆสีขาว ทะเลราบเรียบ ภูเขารูปร่างแปลกตา
ต้นไม้สีเขียว โอ้ย บรรยากาศสดใสชนิดบรรยายไม่ถูกเลยค่ะ
เรือเล่นไปเรื่อยๆ ส่วนฉันก็เก็บภาพ น้ำ ฟ้า ภูเขา
ป่าชายเลนที่แสนสมบูรณ์ไปตลอดทาง
ธรรมชาติของอ่าวพังงายังน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนเดิม...
"ถ้ำลอด"
ลอดถ้ำ
เรือพาเราลอดผ่านถ้ำลอดประตูธรรมชาติซึ่งมีหินงอกหินย้อยที่น่าจะสวยงามทีเดียว
(ถ้ามองเห็นได้ชัดเจนกว่านี้)
แม้เรือจะมีหลังคาแต่ฉันก็ยังแอบหดหัวลงเล็กน้อยด้วยความเคยชิน
ข้างเราก็คือ "เขาพิงกัน"
เราเริ่มขึ้นจากเรือที่เขาพิงกัน
จำได้ว่าครั้งแรกฉันขึ้นเรือทางสะพานด้านหน้าเกาะ
และเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติด้วย ครั้งนี้เราอ้อมไปขึ้นทางหาดด้านหลัง
(หรือเปล่าน้า) ตรงที่มีขายของที่ระลึก
และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ
เขาพิงกัน + ฉันพิงเธอ
ขึ้นจากเรือมาได้ก็โฉบไปชมเขาพิงกันและฉันพิงเธอ
แต่ก็ไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานหรอกค่ะ
เพราะเริ่มเกิดอาการพาลจะอิจฉาเขากับเธอซะแล้ว
เลยต้องเปลี่ยนทำเลไปนั่งโจ้ปลาหมึกย่างแกล้มวิวเขาตะปู
ดูลีลานายแบบนางแบบโพสต์ท่าถ่ายรูปกับนายตะปูไม่รู้เบื่อแทน...
เขาตะปู หรือชื่อเล่นเป็นภาษาฝรั่งว่า
"เจมส์"
วิวสวยแบบนี้ปลาหมึกเจ้าไหนก็อร่อย
หลากหลายลีลาของบรรดานายแบบ
เดาง่ายๆ ฝั่งซ้ายน่ะคนไทยชัวร์
เขาตะปู อันแค่เนี้ย!
ถึงแม้เราจะยังไม่เบื่อกับธรรมชาติตรงหน้าแต่คาดว่าคนขับเรืออาจจะเบื่อเราซะก่อนได้
อีกทั้งปลาหมึกย่างก็สลายหายไปในท้องหมดแล้ว
เราจึงกลับลงเรืออีกครั้ง
สนุกกับกิจกรรมสำรวจถ้ำ
เรือพาเราห่างออกมาจากเขาพิงกันสักพัก
ก็ลอดผ่านประตูธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่เกาะทะลุนอก กิจกรรมที่น่าสนุกแต่ไม่ได้ทำที่เกาะนี้ก็คือ
การพายเรือแคนูสำรวจถ้ำ
นักท่องเที่ยวจะมาเช่าเรือแคนูจากเรือเฟอรี่ลำใหญ่ซึ่งจะนั่งได้ลำละ 3
คน คือ นักท่องเที่ยว 2 ฝีพาย 1เวลาปล่อยเรือลงน้ำพร้อมๆ
กันมองดูเหมือนหนอนหลากสียั้วเยี้ยไปหมด
"เกาะปันหยี"
มาถึงเกาะปันหยีเกินเวลาอาหารกลางวันไปมากซึ่งคงมีส่วนทำให้อาหารมือนี้อร่อยชนิดแม่ช้อยไม่ต้องมาการันตีกันเลยล่ะ
ร้านอาหารที่เกาะปันหยีนี้มีมากมายและค่อนข้างใหญ่โต รอบๆ
ร้านเต็มไปด้วยกระชังสัตว์น้ำชนิดต่างๆ
เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ช้อปปิ้งของที่ระลึกจากเกาะปันหยีติดไม้ติดมือมาบ้าง
ออกจากเกาะปันหยีก็เป็นช่วงเวลาแห่งการทัศนาเพื่ออำลาอ่าวพังงา
เราต่างนั่งเงียบๆ ชมความงาม ซึมซับความสดชื่นรื่นรมณ์ของธรรมชาติ
ตอนนี้น้ำลงแล้วรากของต้นโกงกางและผองเพื่อนยืนเก้งก้างอยู่สองข้างทางเข้าสู่ฝั่ง
บ่ายสองโมงกว่าๆ เราก็กลับมาถึงท่าเรือ
เอ เหมือนจะพลาดอะไรไปสักอย่าง
เขาหมาจู แล้วก็เขาเขียนที่มีภาพเขียนก่อนแประวัติศาสตร์ เออ
ใช่มันอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย ทำไงได้ล่ะฝากไว้ก่อนแล้วกันเนอะ
ความสวยของอ่าวพังงายังติดตามาถึงทุกวันนี้...
หวังวันหน้าคงมีโอกาสมาดู "ตะวันขึ้นที่อ่าวพังงา"
กับเขาบ้าง...
มาร์ชพังงา
รุ่งอรุณทอฟ้า พังงายังงาม
ทั่วเขตคามเป็นศรีเชิดชู
สัญลักษณ์ร้อยเรียงเคียงคู่
เรือขุดแร่เขาตะปูเขาช้าง
แร่หมื่อนล้านเกลื่อนตามีคราคร่ำ
บ้านกลางน้ำ คลื่นไล้พรายพร่าง
ถ้างามตาภูผาแปลกต่าง
สุดสะอางหมู่แมกไม้จำปูน
ล้วนบริบูรณ์ด้วยทรัพยากร
ในลุ่มในดอนจำรูญ
ชาวพังงาล้วนมีเมตตาเกื้อกูล
น้อมเทิดทูนชาติศาสนาราชัน
|