ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

895.913 นวนิยายไทย
เรือนแพ / พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล

(เรื่องย่อ) นวนิยาย เรือนแพ ทำไมมันดราม่าขนาดนี้เนี่ย จริง ๆ แล้ว มันเศร้าขนาดนี้เลยเหรอ!

บอกตรงๆ ผมไม่เคยดูเรื่องเรือนแพ มาก่อนเลย พอดีไม่ค่อยชอบหนัง ละครแนวนี้ แต่พอได้ดูทีเซอร์ แล้ว ถึงกับอึ้ง ทั้งฉาก สีสัน สวยงาม ตัวละครก็เหมาะสมมาก โดยเฉพาะตัวเอก โตโน่ เหมาะสมกับนักมวยจริงๆ สน ก็ เท่ห์ หล่อ เหมาะกับตำรวจ กัน เสียงนุ่ม หวาน เหมาะกับเพลงแนวนี้จริงๆ exact ทำไมถึงได้คัดเลือกนักแสดงได้ลงตัวขนาดนี้ คงต้องรอพิสูจน์กันอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ว่าจะเหมาะสมจริง ๆ ไหม แต่ด้วยความอยากส่วนตัว จึงไปหามาอ่าน แต่มันยาวมาก เลยไป serch เจอฉบับย่อ อ่านแล้ว รู้สึกว่ามันเศร้ามาก ดราม่าสุด ๆ โดยเฉพาะ บทริน นี่ ช่างอาภัพเหลือเกิน แล้วสุดท้ายก็ต้องมาตายอีก ทั้งแก้ว และ ริน โห นี่มันดราม่าระดับไหนเนี่ย แต่ไม่รู้ว่าละครที่สร้างออกมาใหม่นี้ จะเป็นแบบนี้หรือป่ะ ลองอ่านดูนะ ถ้าไม่เศร้าให้เหยียบเจ้าของกระทู้เลย เชื่อว่าจะต้องมีคนน้ำตาซึม แน่ๆ เพราะขนาดผมผู้ชายยังซึม แถมไหลออกมาด้วย

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2193637

ย่อจาก นวนิยาย เรือนแพ ฉบับของสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรม พ.ศ. 2538 ซึ่งได้รับพระเมตตาจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ที่ได้ประทานพระนิพนธ์บทภาพยนตร์เรื่อง "เรือนแพ" ให้นำมาเรียบเรียงดัดแปลงในรูปนวนิยายเป็นครั้งแรก

ในที่สุดแล้ว เรื่องย่อฉบับนี้ อาจจะไม่ตรงเป๊ะ กับละคร "เรือนแพ" ที่กำลังจะออกอากาศ แต่ผู้ย่อก็ทำเรื่องนี้ด้วยความรักในตัวศิลปิน และความรักในการเขียน เมื่ออ่านนวนิยายแล้วได้รับความบันเทิงจากการอ่าน จึงอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้ทุกๆ คน

ตัวนวนิยายนั้นเป็นมี รูปเล่มขนาด 16 หน้ายก (ประมาณ A5) ความหนาเกือบๆ 300 หน้า ผู้ย่อย่นย่อลงจนเหลือความยาว 8 หน้ากระดาษ A4 ตั้งใจเพียงเพื่อแบ่งปันกันอ่านเพื่อความบันเทิงในหมู่เพื่อนฝูง มิได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

บรรพต้น -เรือน- พ.ศ. 2494

ริน นันทนา จากบ้านเกิดที่นครนายก มาอาศัยกับลูกพี่ลูกน้องเพื่อเรียนต่อชั้นเตรียมอุดมในกรุงเทพฯ ตามความประสงค์ของแม่ซึ่งอยากให้รินสอบเข้าทหารตามอย่างพ่อที่ล่วงลับ วันนี้ รินมาเดินเบียดเสียดผู้คนเพื่อชมขบวนพาเหรดของทหาร ทั้งๆ ที่วันรุ่งขึ้นเขาจะต้องเข้าสอบกลางภาคของกระทรวง เวลานี้รินควรจะนั่งท่องหนังสืออยู่กับกองตำรา แต่เขาก็เลือกที่จะมาชมขบวนพาเหรด

รินรู้ตัวมานาน แล้วว่า ชอบเสียงเพลง อยากเป็นนักร้องนักแต่งเพลง แต่เขาก็หันหลังให้เครื่องดนตรีทุกชนิด เรียนเตรียมอุดมตามความประสงค์ของแม่ แต่ในที่สุดเมื่อไม่อาจทนฝืนใจต่อไปได้อีกรินก็ตัดสินใจ ในห้องสอบ รินเห็นเพื่อนแต่ละคนกำลังเคร่งเครียดกับสมการพีชคณิตตรงหน้า เขาจึงสร้างบรรยากาศสนุกสนานด้วยการรอ้งเพลงมหาฤกษ์กับเขมรไทรโยค แม้จะผิดกาละเทศะจนอาจารย์ตาเขียวปั้ด แต่ก็ช่วยคลายเครียดให้เพื่อนๆ ที่กำลังสอบได้ หลังจากสอบกลางภาคครั้งนั้น รินส่งกระดาษเปล่าพร้อมกับเขียนข้อความอำลาคุณครู แล้วเขาก็เริ่มต้นออกเดินทางตามความฝัน

รินเขียนจดหมายไปบอกแม่ว่าได้งานทำ ต้องย้ายที่อยู่ เขาจะส่งเสียตัวเอง และสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลให้ได้ รินออกจากบ้านญาติ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปนอนที่ไหน ผ่านคฤหาสน์หลังงามที่มีงานเลี้ยงและดนตรีบรรเลงก็หยุดยืนฟังอย่างหลงใหล หิวก็หิว ที่ซุกหัวนอนก็ยังไม่มี รินตัดสินใจเข้าไปนอนใต้ชายคาตึกในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โชคดีที่ได้หนังสือเล่มหนาเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งหนุนนอนต่างหมอน “เฮ้อ จะหิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกันแหละ เพื่อนเอ๋ย” รินหลับไปโดยที่คำคำนี้ยังติดอยู่ริมฝีปาก (หน้า 16)

รุ่งเช้า รินตื่นขึ้นมาเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาเป็นเจ้าของหนังสือเล่มที่รินหนุนนอนต่างหมอนนั่นเอง เขามาตามหาหนังสือที่แม้จะเก่าคร่ำ แต่ราคาของมันก็แสนแพงในความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของ เขาชื่อ เจน จินดา ทนายความฝึกหัด นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งสองถูกอัธยาศัยกัน คงเป็นเพราะสิ่งที่ทั้งคู่มีอย่างเท่าเทียมกันก็คือความยากจนนั่นเอง

เจนชวนรินไปพักที่บ้านเช่าของเขา ทั้งสองนัดพบกันอีกครั้งในตอนเย็น รินยืมหนังสือเล่มหนาของเจนไว้ แต่สุดท้ายรินก็ไม่ได้มาตามนัด เขาฝากจดหมายคืนมาพร้อมหนังสือที่ซ่อมแซมให้ในสภาพที่ดีกว่าตอนแรกไว้ที่ยาม รินบอกเจนว่า เขาได้งานทำเป็นเด็กยกรีเฟลกซ์ในกองถ่ายภาพยนตร์ ทำให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด

เปิดตัว “แก้ว กลางตะวัน”

แก้ว กลางตะวัน เดินทางมาจากจังหวัดเพชรบุรี มาที่ค่ายมวยศรเพชร หวังจะฝากตัวเป็นศิษย์ครูสมาน ถึงแม้ครูสมานจะเห็นหน่วยก้านที่ดีของแก้ว แต่ในตอนแรกครูสมานก็ไม่ยอมรับแก้วเป็นศิษย์ แต่เมื่อครูสมานได้เห็นความมุ่งมั่นของชายหนุ่ม ที่เพียรพยายามตาหาครูสมาน มีเพียงร่องรอยจากข้อความสั้นๆ ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเท่านั้น ด้วยอยากฝากตัวเป็นศิษย์และเรียนแม่ไม้มวยไทย “จักรนารายณ์” ทำให้ครูสมาน คิดถึงตนเองในวัยหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นไม่แพ้แก้ว ครูสมานจึงรับแก้วเป็นศิษย์ในที่สุด

เมื่อหนุ่มพบสาว

เพ็ญ อาภาอุดม ลูกสาวเถ้าแก่เส็งกับคุณนายส้มจีน คหบดีแห่งตลาดน้อย ปิดเทอมภาคฤดูร้อน กลับจากโรงเรียนคอนแวนต์ที่ปีนังมาอยู่บ้าน วันหนึ่งเธอไปเดินเที่ยวซื้อผ้าที่ตลาดบางลำพู ขณะกำลังเลือกซื้อผ้าก็เกิดเหตุไฟไหม้ ผู้คนพากันเบียดเสียดหนีตายกันชุลมุน รินซึ่งกลับจากต่างจังหวัดพอดี ได้เห็นเพ็ญเป็นครั้งแรก ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ความชุลมุนและความแออัดเบียดเสียด ทำให้เพ็ญเป็นลมหมดสติไป ตื่นมาอีกครั้งก็พบรินยืนยิ้มแป้นอยู่คู่กับแก้ว ซึ่งประสบเหตุเดียวกัน และเข้ามาช่วยเพ็ญไว้ได้ในเวลาเดียวกันพอดี

การณ์กลับกลายเป็นว่า เมื่อเกิดเหตุโกลาหล รินซึ่งกำลังเห็นเพ็ญตกใจจนก้าวขาไม่ออก ก็ตรงดิ่งเข้าไปฉุดข้อมือเพ็ญให้ออกวิ่ง แต่หญิงสาวก็เหมือนกำลังจะเป็นลม ส่วนรินก็โดนชนจนล้ม ประจวบกับมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหมายจะกระชากสร้อยของเพ็ญ แก้วเข้ามาช่วยเพ็ญไว้ได้ทันเวลา เมื่อชกผู้ชายคนนั้นจนล้มแล้ว แก้วก็อุ้มเพ็ญที่หมดสติไปแล้วออกมา รินไปหา “เยี่ยวอูฐ”กลิ่นแรงจัดจ้านมาให้เพ็ญดมจนฟื้น

เพ็ญ กล่าวขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เธอให้ความเป็นกันเองกับทั้งสองคน เธอขอเป็นน้องสาวของทั้งคู่ แล้วเรียกทั้งคู่ว่า “พี่ริน” กับ “พี่แก้ว” ทั้งสองส่งเพ็ญขึ้นรถสามล้อ มองตามรถไปจนลับตา แน่นอนละว่า ชายหนุ่มทั้งสอง ประทับใจในตัวสาวเพ็ญตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว

ส่วนแก้วกับริน ซึ่งแม้เพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่ก็คุยกันอย่างถูกชะตา เพราะเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกัน รินแทนตัวเองว่า “ฉัน” ส่วนแก้วแทนตัวเองว่า “ข้า” แก้วบอกว่าถ้ารินอยากเจอ เขาอีกก็ให้มาบางลำพู เพราะเขามาวิ่งแถวนี้ทุกวัน

สองหนุ่มพบสาวไปแล้ว แล้ว เจน จินดา ล่ะ เจอสาว เพ็ญ อาภาอุดม ตอนไหน...

พอดีกับที่บ้านของเพ็ญเป็นคดีความ ทำให้เถ้าแก่เส็งต้องหาทนายมาช่วยจัดการเรื่องคดี สำนักงานทนายความที่เถ้าแก่เส็งติดต่ออยู่จึงส่งเจนให้มารับทราบข้อมูลใน เบื้องต้น และแล้ว เจนก็ได้พบกับเพ็ญ ซึ่งเพิ่งจะประสบเหตุร้ายมาในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง

เจน ไปบ้านเถ้าแก่เส็งอีกในวันรุ่งขึ้นเพื่อสะสางเรื่องเอกสาร เจนแสดงความฉลาดรอบคอบจนเถ้าแก่เส็งพอใจ ส่วนเพ็ญก็พูดคุยกับเจนอย่างเป็นกันเอง และเล่าเหตุการณ์ระทึกใจที่เธอประสบมาที่บางลำพูให้เจนฟัง รวมถึงคนใจดีสองคนที่ช่วยเธอไว้ ส่วนเจนเล่าเรื่องความคิดจะย้ายบ้าน แล้วชวนรินมาอยู่ด้วยเนื่องจากถูกชะตากับรินให้เพ็ญฟัง โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่า คนที่ตนพูดถึงนั้นก็คือ “ริน” คนเดียวกันนั่นเอง

เพ็ญมีเวลาอยู่บ้านเพียงสองสัปดาห์ เธอจะต้องเดินทางกลับไปเข้าค่ายที่โรงเรียนที่ปีนังในสัปดาห์หน้า

ส่วนรินนั้นต้องนับว่าโชคเข้าข้าง เมื่อได้เลื่อนตำแหน่งจากเด็กยกรีเฟลกซ์ไปเป็นผู้ช่วยประจำตัวผู้กำกับ เนื่องจากกองภาพยนตร์ที่รินทำอยู่เป็นภาพยนตร์เพลง ช่วงที่นักแสดงยังไม่มา รินหยิบโน้ตเพลงที่ผู้ประพันธ์ประพันธ์ไว้มาร้องเล่น จนผู้กำกับ “ฉงนในความสามารถด้านการอ่านโน้ตของเขา แต่นั่นยังไม่เท่า ความพิศวงในน้ำเสียง”

วันที่กองภาพยนตร์ไม่มีคิวถ่ายทำ รินกลับเข้ากรุงเทพฯเพื่อหาบ้านเช่า เจอบ้านเช่าเก่าโกโรโกโสเข้าหลังหนึ่งแถวเทเวศร์ก็ถูกใจ คิดถึงแก้วเพื่อนรัก หมายจะชวนแก้วมาอยู่ด้วย แก้วบอกว่าไม่มีเงิน แต่รินแสดงน้ำใจว่า ไม่เป็นไร มีเมื่อไหร่ก็จ่ายเมื่อนั้น นอกจากนี้รินยังคิดชวนเจนมาอยู่ด้วยอีกคน แต่เมื่อไป ถึงบ้านเช่าปรากฏว่า มีคนมาเช่าบ้านตัดหน้าทั้งคู่ไปแล้ว

แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อคนเช่าบ้านหลังนั้นไปก็คือ เจน นั่นเอง เจนมากับเพ็ญ ทำให้ทั้งสี่ได้เจอกันอย่างพร้อมหน้า ทั้งสี่คุยกันอย่างถูกอัธยาศัย บอกเล่าที่มาของชีวิตแต่ละคนอย่างมีความสุข เพ็ญบอกว่าเธอต้องกลับปีนังในอีกสัปดาห์ต่อมา สามหนุ่มรับปากว่าจะไปส่ง

เนื่องจาก คดีความที่บ้านเถ้าแก่เส็งลงเอยที่การเจรจา ไกล่เกลี่ยโดยพ่อเลี้ยงน้อยช่วยเจรจาให้ พ่อเลี้ยงน้อยเป็นคหบดีชาวเหนือที่มาติดพันเพ็ญอยู่เช่นกัน แต่เพ็ญไม่ชอบหน้าพ่อเลี้ยง เวลาที่พ่อเลี้ยงมาที่บ้าน เพ็ญจึงมักจะหลบออกมาจากบ้านเสมอ วันที่ทุกคนได้มาเจอกันพร้อมหน้าอย่างวันนี้ก็เช่นกัน เพ็ญโกหกที่บ้านว่าเพื่อนที่โรงเรียนคอนแวนต์มารับ

เมื่อถึงเวลาที่เพ็ญต้องกลับปีนัง เพ็ญเดินทางคนเดียวจากหัวลำโพง แต่ก็นัดเพื่อนไว้ที่นครปฐม มีเพียงเจนคนเดียวที่มาส่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ส่วนรินมาไม่ทัน แต่มาดักพบเพ็ญที่สถานีรถไฟสามเสนแทน รินซึ่งมีความรู้สึกพิเศษกับเพ็ญพูดไม่เก่งเหมือนเก่า เพียงยื่นหนังสือและกระดาษเขียนกลอนเสียบไว้ในเล่มเท่านั้น เพ็ญมองหาไม่เห็นแก้ว หญิงสาวรู้สึกผิดหวัง แต่ที่สุดก็ต้องปลาบปลื้มเพราะแก้วขึ้นมาอยู่บนรถไฟ และนั่งเป็นเพื่อนเพ็ญไปจนถึงนครปฐม ที่ที่เพ็ญนัดหมายว่าจะเจอเพื่อนของเธอที่นั่น ก่อนเดินทางไปปีนังด้วยกัน

เพ็ญติดต่อกับ “พี่ๆ ทั้งสาม” ทางจดหมาย หวังว่าทุกคนคงสบายดี

แต่ตอนนี้ชีวิตของทั้งสามดูจะมาถึงทางตัน เจนได้งานน้อยลงๆ ส่วนรินพอปิดกองก็ตกงาน แถมยังถูกเบี้ยวค่าแรงอีกต่างหาก แก้วนั้นก็เพิ่งพ่ายแพ้จากการขึ้นชก...เพราะคู่ชกถอนตัวกะทันหัน ทำให้ต้องไปชกกับคู่มวยที่มีน้ำหนักมากกว่า มีแต่หัวใจของทั้งสามเท่านั้นที่ยังคงเข้มแข็ง ไม่คิดท้อถอย

บรรพปลาย -แพ- พ.ศ. 2495

วัน เวลาผ่านไปหนึ่งปี ล่วงเข้า พ.ศ. 2495 เพ็ญเรียนจบ กลับจากปีนังมาอยู่ที่บ้านตลาดน้อย เธอยังคงเก็บกระดาษเขียนกลอนที่รินให้ไว้ รวมทั้งคิดถึง “พี่ๆ ทั้งสาม” เพ็ญไปที่บ้านเช่าของสามหนุ่มที่เทเวศร์ พบเพียงความว่างเปล่า แต่แล้วก็เจอแก้วโดยบังเอิญ แก้วเล่าให้เพ็ญฟังถึงชีวิตของทุกคนที่ยังคงต้องต่อสู้ต่อไป ตอนนี้ทั้งสามไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วเนื่องจากเจ้าของบ้านเช่าขึ้นค่าเช่าจน สู้ค่าเช่าไม่ไหว แต่ละคนจึงยังไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยนอนตามที่ต่างๆ

เพ็ญจึงไปขอร้องเตี่ยให้พูด หว่านล้อมให้เจนและเพื่อนมาใช้เรือนแพที่ว่างอยู่เป็นที่พัก จากนั้นก็นัดหมายให้ทุกคนมาพบกันที่นั่น รินมาถึงก่อนใคร เขาประทับใจกับบรรยากาศของที่นั่น เรือนแพที่ได้เห็น ทำให้ทั้งเนื้อเพลง ทั้งท่วงทำนองเพลงเรือนแพผุดขึ้นมาในหัวของเขา จากนั้นทั้งสี่คนช่วยกันซ่อมแซมแพที่ผุพัง หลังคารั่ว โป๊ะเอียงกะเท่เร่ให้กลับมาดีดังเดิม และครั้งนี้แหละที่รินร้องเพลง “เรือนแพ” ให้ทุกคนได้ฟังเป็นครั้งแรก

“รินสูดลม หายใจเต็มปอด แล้วขึ้นเพลงด้วยเสียงดังกังวาน เพียงวลีแรกร่วงจากปาก ค้อนในมือของแก้ว และถังน้ำในมือเจนก็เงียบเป็นดุษณีให้กับบทเพลงของเพื่อนรัก เพลงของริน นันทนา เพลงนั้นยังคงเป็นที่จดจำมาจนทุกวันนี้ บทเพลงที่มีชื่อว่า “เรือนแพ” “เรือนแพ สุขจริงอิงกระแสธารา…” (หน้า 125)

วัน เวลาผ่านไป สายน้ำ ณ เรือนแพแห่งคลองบางม่วงนั้น ได้ผูกสายสัมพันธ์ให้ชายทั้งสามคนอย่างแน่นหนาด้วยพลังแห่งมิตร มีแต่แก้วเท่านั้นที่เคลือบแคลงสงสัยในความรู้สึกว่า เพ็ญจะรู้สึกเช่นไรกับเขากันแน่ เพราะดูท่าทางแล้ว เพ็ญกับเจนก็สนิทสนมกันดี

ฝีมือการชกมวยของแก้วดีวันดีคืน จนได้ขึ้นชกกับ “นาคราช” นักมวยชื่อดัง ซึ่งเซียนมวยจ้างให้นาคราชล้มมวย แต่ยังไม่ทันที่นาคราชจะล้มมวย แก้วก็โค่นนาคราชลงได้ก่อน จากนั้นแก้วก็กลายเป็นนักมวยระดับแม่เหล็ก

ส่วนเจนจบการศึกษาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และกำลังจะสอบเข้าเป็นตำรวจ ดูเหมือนว่าเจนจะมีความหวังในตัวเพ็ญมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยว่าเถ้าแก่เส็งพ่อของเพ็ญเปิดทางให้ และเพ็ญก็ไม่ได้รังเกียจเจน แต่ในใจของเธอนั้นสิ กลับคิดถึงใครอีกคนมาตลอด

ส่วนรินนั้น แม้ยังไม่หมดแรงฝัน แต่ก็ยังวนเวียนอยู่กับที่ ไปไม่ถึงไหนเสียที สุดท้ายแม้รินจะได้รับบทพระเอกภาพยนตร์ก็ตาม แต่ก็ต้องตกงานอีกเพราะไม่ต้องการฝืนใจเข้าฉากโรมานซ์กับนางเอกของเรื่องได้ แต่เมื่ออยู่รวมกันที่เรือนแพ รินกับเพ็ญก็ยังเป็นศูนย์กลางแห่งความสนุกสนาน รินก็ยังแต่งเพลง “วันเพ็ญ” ไว้ให้เพ็ญร้อง โดยเฉพาะสองวรรคสุดท้ายนั้น เป็นท่อนที่เพ็ญจำได้ไม่ลืม เนื่องจากเป็นกลอนที่รินเขียนให้เพ็ญเมื่อครั้งขึ้นรถไฟไปปีนัง

พอรุ่งราง ฟ้าใหม่ ใจก็…กลับ จะพา ฉันดับ ไปกับ…จันทร์” (หน้า 151)

แต่ด้วยความน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองขณะที่เพื่อนทั้งสองกำลังประสบความสำเร็จ เมื่อเจอคำพูดกระทบใจเพียงน้อยนิดจากเพ็ญ โดยที่เพ็ญก็ไม่ได้ตั้งใจ ทำให้รินผลุนผลันออกจากเรือนแพ แล้วกลับมาตอนค่ำในสภาพเมามายไม่ได้สติ

คืนนั้น ฝนตกราวกับฟ้ารั่ว ลมแรง สายฟ้าฟาดเปรี้ยง ต้นหมากล้มระเนระนาด รินกลับเข้าเรือนแพมาพอดี จังหวะนั้น ลมพัดแรงจนตะเกียงน้ำมันก๊าดล้ม ไฟลุกติดหมอนมุ้ง แก้วดับไฟจ้าละหวั่น ส่วนเจนเมื่อวิ่งมาช่วยก็เห็นรินยืนกลางสะพานไม้ในสภาพเมามาย ตะโกนท้าทายฟ้าฝนอยู่ด้านนอก และแล้วก็มีต้นไม้ต้นหนึ่งล้มฟาดลงมาจนสะพานหัก รินหล่นลงน้ำ เจนกระโดดลงสายน้ำเชี่ยวไปช่วยเพื่อนรักที่กำลังจมลงเพราะเมามายไม่ได้สติ

เพ็ญ วิ่งออกไปจะช่วย แต่เธอก็เสียหลักหล่นร่วงลงในสายน้ำเชี่ยวอีกคน แก้วหันมาเห็นพอดี กระโดดลงไปช่วยเพ็ญไว้ได้ แต่ทั้งคู่ก็ถูกน้ำพัดไปไกล เพ็ญหมดสติ เมื่อช่วยเพ็ญขึ้นจากน้ำ จนเพ็ญฟื้นคืนสติ แก้วกับเพ็ญก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป ทั้งคู่จึงตกเป็นของกันและกันในคืนนั้น

รุ่งเช้า แก้วส่งเพ็ญที่บ้าน กลับมาที่เรือนแพ ส่วนเจนพอช่วยรินขึ้นจากน้ำได้ก็หมดแรงหลับอยู่ตรงนั้น รินปลุกเจนให้ตื่น พายุฝนคืนทำให้เรือนแพเสียหายยับ รินนึกย้อนไปได้เพียงแต่ว่า เมื่อคืนเป็นคืนที่เขาเมาที่สุดในชีวิต แวะเข้าร้านเหล้าทุกร้านที่พบตามรายทาง สถานที่สุดท้ายที่เขาเข้าไปเป็นงานราตรีสโมสร ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีไพเราะ แต่เสียงนักร้องนั้นฟังแล้ว “กวนโสตนัก เขาจึงต้องร้องโชว์ให้รู้ว่า ที่เรียกว่าเพลงนั้นเป็นอย่างไร” (หน้า 159)

แต่รินก็จำไม่ได้ว่าพาตัวเองกลับมาบ้านได้อย่างไร เหมือนกับฝันว่าเห็นสายฝน พายุ ฝันว่าเล่นน้ำจนเหนื่อย แล้วกระโจนลงน้ำ ดำผุดดำว่าย ตื่นขึ้นมาก็พบสภาพพังยับของเรือนแพ ส่วนเจนนั้นก่อนที่จะถูกรินปลุกให้ตื่นเขาก็ฝัน ฝันว่า เพ็ญเดินคนเดียวในป่า แล้วเพ็ญก็เดินห่างเขาไปไกลทุกทีๆ จะตะโกนเรียกเช่นไรก็ไร้ผล แก้วและเจนต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตน จากนั้นรินกระตุ้นเพื่อนทั้งสองให้มาช่วยกันซ่อมเรือนแพให้กลับคืนสภาพเดิม อีกครั้ง

แต่ทุกอย่างนับจากนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...

เพ็ญกับแก้วแอบลอบนัดพบกัน เพ็ญเป็นห่วงอนาคตของทั้งคู่ แก้วบอกว่าจะล้มมวยเพื่อนำเงินมาสู่ขอเพ็ญ แต่เพ็ญก็ไม่อยากให้แก้วทำเช่นนั้น

ส่วนเจน สมัครเข้ารับราชการตำรวจ ได้เป็นนายร้อยตำรวจ เขาฝันเฟื่องอย่างมีความสุขว่า จะไปกราบเถ้าแก่เส็งสู่ขอเพ็ญ เขาเตรียมแหวนวงเล็กๆ ไว้ให้เพ็ญด้วย แต่เมื่อมาถึงเรือนแพ ภาพที่เจนได้เห็นก็คือ เพ็ญกับแก้วอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน แม้จะเสียใจหนัก แต่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ด้วยความรักเพื่อน เจนได้แต่แสดงความยินดีและยกแหวนวงที่ซื้อมาให้แก้วมอบให้เพ็ญ แต่เจน ก็ไม่อาจทนอยู่ที่เรือนแพได้อีก เขาเลือกนอนที่สถานีตำรวจเป็นการชั่วคราว มุทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะได้ลืมความเสียใจนี้

ส่วนริน ซึ่งสองสามวันจะกลับมาที่เรือนแพสักหน ก็รับรู้เรื่องนี้ด้วยความสะเทือนใจ“จริงอยู่ที่ความละเมียดกับชีวิตทำให้ เขาอ่านใจทุกคนได้ใกล้เคียงความรู้สึกมาก่อนแล้ว แต่รินก็คิดไม่ถึง...ไม่นึกว่าภาพของการลงเอยจะเกิดขึ้นรวดเร็ว เฉียบพลัน น่าเศร้าเช่นนี้” (หน้า 168) พ่อเลี้ยงน้อยมาสู่ขอเพ็ญกับเถ้าแก่เส็ง แต่เถ้าแก่เส็งอยากให้เพ็ญแต่งงานกับเจน เพ็ญก็สารภาพความจริงกับเถ้าแก่เส็งว่า เธอเป็นเมียแก้วแล้ว เถ้าแก่เส็งโมโห จึงส่งเพ็ญให้ไปแต่งงานกับพ่อเลี้ยงน้อยที่เชียงใหม่

ส่วนแก้วนั้นต้องไปชกมวยที่ลพบุรี มีคนจ้างเขาล้มมวย แต่ในที่สุดแก้วก็ไม่อาจล้มมวยได้ แต่นั่นก็ทำให้ผู้ว่าจ้างส่งนักเลงมาทำร้ายแก้ว แต่แก้วก็ได้รับความช่วยเหลือจาก “เศรษฐีหรุ่น” ซึ่งช่วยเขาถึงขนาดที่จะ เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอเพ็ญให้ด้วย แต่เมื่อแก้วกลับมา ทราบว่าเพ็ญถูกส่งตัวไปเชียงใหม่แล้ว จึงตามไปที่นั่น แก้วบุกเข้าไปในงานแต่งงาน ใช้ปืนยิงพ่อเลี้ยงน้อยตาย

แก้วหลบเข้าป่า เจอชายแก่ใจดีที่ดีใจกับการตายของพ่อเลี้ยง พ่อเฒ่าแนะนำให้แก้วไปหลบกับเสือหาญ ซึ่งกว่าจะแก้วจะได้รับการยอมรับจากเสือหาญก็ต้องมีการดวลอาวุธกันจนบาดเจ็บ ไปทั้งสองฝ่าย แก้วพักอยู่กับเสือหาญจนหายดี แล้วเริ่มช่วยเสือหาญออกปล้น จนชื่อของเสือแก้วเสือหาญดังกระฉ่อนไปทั่วภาคเหนือ

ส่วนริน เขาตัดสินใจออกเดินทางเร่ร่อนหางานร้องเพลงอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจเดินทางลงภาคใต้ สำหรับเจนนั้นทำงานจนมีผลงานเป็นที่ยอมรับ เจนได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ โดยเป็นคำสั่งให้ไปปราบโจรภาคเหนือ ซึ่งก็คือ เสือหาญ และ เสือแก้ว ตอนแรกเจนคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อคำสั่งนั้นระบุว่า “จัดการขั้นรุนแรงได้ตามวิจารณญาณ” ทำให้เจน เปลี่ยนใจ ด้วยคิดว่า จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แก้วมอบตัวสู้คดีให้ได้

เจนเดินทางไปเชียงใหม่ พบเพ็ญที่ร้านขายของที่ระลึกซึ่งเพ็ญเปิดกิจการอยู่ และได้พบกับแก้วที่มาหาเพ็ญเช่นกัน เจนพยายามหว่านล้อมให้แก้วมอบตัว แต่แก้วไม่เชื่อ เจนกลับไป จากนั้นตำรวจมาล้อมที่ร้าน แต่แก้วก็หนีไปได้

หน่วยตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของเจนกวดขันตัดเส้นทางทางมาหากินของเสือหาญ ทำให้เสือหาญโกรธแค้นเจนเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับวางแผนปล้นพร้อมกันหลายจุด ทั้งจุดไฟเผาตลาด แต่สุดท้าย แผนนี้ก็ล่วงรู้ถึงตำรวจ ซึ่งเตรียมกำลังรับมือเต็มที่ ในที่สุดก็ไม่มีการปล้น เสือหาญและเสือแก้ว หนีไปกบดานที่เพชรบุรีถิ่นของแก้ว เจนติดตามไป

ทางด้านริน จากกรุงเทพฯ เขาลงรถไฟที่ชุมพร อยู่ชุมพรได้สองวันก็ล่องลงไปถึงหลังสวน ไปต่อที่ไชยา ได้งานแรกที่พุนพิน แต่ก็อยู่ได้เพียงคืนเดียวเพราะทนเสียงปืนไม่ไหว ก็ต้องล่องใต้ลงทุ่งสง รองานจนรอไม่ไหว แล้วตัดสินใจไปหาดใหญ่ หลังจากสมัครงานไปหลายแห่งก็ได้แต่รอ รินเขียนจดหมายหาเจน พูดถึงแก้วด้วยความเป็นห่วง อยากให้แก้วมอบตัว

รินอยู่หาดใหญ่ได้สองสามวันก็ตัดสินใจไปเสี่ยงโชคที่ภูเก็ต ตอนนี้รินเหลือเงินเพียงแค่ค่ารถที่จะไปภูเก็ตเท่านั้น แม้ชะตาชีวิตจะโหดร้ายกับรินถึงเพียงนี้ แต่รินยังคงยิ้ม ชีวิตที่เลือกเองของเขามีรสชาติอย่าบอกใคร นี่คือความคิดของริน นันทนา ในยามที่ชีวิตต้องเดิมพันกับทางเลือกที่เหลือเพียงทางเดียว

แต่ก่อนที่รินจะได้จากหาดใหญ่ไป รินได้พบกับจ่าสนั่น ซึ่งตามหาตัวเขามานาน ย้อนกลับไปในคืนที่รินเมามายด้วยความน้อยใจในชะตาชีวิต รินไปยืนตะโกนร้องเพลงอยู่หน้าบ้านอาจารย์กิตติ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักร้องหลายคน อาจารย์กิตติชอบเสียงของริน บอกให้จ่าสนั่นออกมาตามรินเข้าไปพบในบ้าน แต่ออกมาหน้าบ้านก็ไม่พบเสียแล้ว จ่าสนั่นบอกรินว่าอาจารย์กิตติเสียดายมาก และว่าจ้างให้จ่าออกตามหาริน แต่จ่าก็กำลังเตรียมตัวย้ายกลับบ้านที่หาดใหญ่ จ่าบอกรินว่า “แกยังบอก น่าเสียดายที่ตามคุณไม่เจอ แกทำนายว่า น้ำเสียงอย่างคุณ ต่อไปจะดังระเบิด...” (หน้า 231)

รินได้ทราบเช่นนั้นก็ดีใจมาก เขาเตรียมลาจ่า บอกว่าต้องไปหางานเก็บเงินเป็นค่ารถไฟเดินทางกลับกรุงเทพฯ จ่าสนั่นจึงช่วยฝากงานให้รินได้ร้องเพลงที่สตาร์บาร์ แล้วชวนรินไปพักที่บ้าน รินเกรงใจไม่รู้จะตอบแทนจ่าสนั่นอย่างไรดี จ่าสนั่นจึงขอร้องให้รินช่วยเป็นครูสอนดนตรี เนื่องจากจ่าสนั่นตั้งวงแตรวงกับเพื่อน แต่ก็เล่นไม่เป็น รินยินดีที่จะสอนให้

ชีวิตของรินดูจะสดใสและมีความหวังขึ้นบ้างแล้ว เขาอยากเขียนจดหมายหาเพื่อนทั้งสอง แต่ก็จนใจด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้แก้วทำอะไรอยู่ที่ไหน

ทางด้านแก้ว แม้จะหลบมาเพชรบุรี ก็ถูกเจนตามติด ทำให้เสือหาญหนีลงไปกบดานกับพรรคพวกที่สงขลา ส่วนแก้วแอบลอบไปพบเพ็ญที่กรุงเทพฯ ก่อนจะตามไปสมทบกับเสือหาญ เพ็ญขอร้องให้แก้วเลิกปล้น เขามอบแหวนเพชรวงงามให้เมียรัก แต่เพ็ญก็ไม่รับไว้ เนื่องจากเป็น ของที่ “ปล้นเค้ามา” แก้วเสียใจมาก แต่ก็สัญญากับเพ็ญว่าจะเลิกปล้น ตั้งใจว่าจะหลบไปอยู่ทางภาคใต้ รอจนกว่าคดีจะหมดอายุความ แล้วจะกลับมาอยู่กับเพ็ญ ซึ่งเพ็ญสัญญาว่าจะคอยแก้วเพียงคนเดียว แก้วจึงเดินทางลงไปสมทบกับเสือหาญที่สงขลา

เจนได้รับรายงานจากสายว่าเสือหาญกับแก้วไปกบดานที่สงขลา เขาจึงเดินทางลงใต้ไปอีกคน

มันเป็นโยงใยแห่งมิตรจริงๆ หรือ ที่นำพาทั้งสามชีวิตให้ไปพบกันที่หาดใหญ่อีกครั้ง...

ชีวิตรินช่วงนี้นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เขาร้องเพลงไม่กี่วันก็เก็บเงินพอสำหรับค่ารถไฟแล้ว ตอนกลางคืนรินไปร้องเพลงที่สตาร์บาร์ ส่วนกลางวันก็ฝึกต่อเพลงใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ รินคิดถึง "เรือนแพ" อย่างมีความสุข

"ทุกคืนวัน รินเฝ้าหวนได้ยินแต่เสียงหัวเราะเริงร่าของทุกชีวิตในเรือนแพ เขาอยากกลับไปได้ยินเสียงความสุขเช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง ในวันเก่าคราวโน้นเขายินดีกับความสำเร็จของเพื่อนๆ แต่ในวันอันใกล้นี้ ความสำเร็จจะเป็นของเขาบ้าง..." (หน้า 241) รินติดต่ออาจารย์กิตติ นัดหมายวันเวลาที่จะเข้าห้องอัดเสียงเรียบร้อย จ่าสนั่นสัญญาว่าจะเอาแตรวงของเขาไปบรรเลงส่งรินถึงสถานีรถไฟ

รินนึก เห็นภาพเรือนแพประดับดวงไฟสวยงาม ส่องเงาสะท้อนลงในสายน้ำเป็นดวงวับวิบ เงินที่เขาสะสมไว้ใกล้จะเพียงพอกับการเนรมิตให้เรือนของชีวิตหลังนั้น เป็นเรือนงามทั้งตัวเรือนและวิญญาณ" นี่คือความฝันของริน นันทนา ผู้มองเรือนแพหลังน้อยเป็นบ้านที่แสนอบอุ่น

คืนนั้น มีสายมาส่งข่าวที่สตาร์บาร์ บอกการมาของเสือแก้วให้เสือหาญได้รับรู้ พอดีกับรินเดินเข้าบาร์ ใกล้จนน่าจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น สมุนของเสือหาญไม่แน่ใจว่ารินจะรู้เรื่องที่มันพูดหรือไม่ แต่สมุนของเสือหาญก็จำได้แม่นว่านักร้องคนนั้นชื่อริน โดยที่มันหารู้ไม่ว่า มี "สายตำรวจ" อีกคนที่อยู่ใกล้ตัวมันมากกว่ารินเสียอีก นอกจากได้ยินทุกถ้อยคำที่มันพูดแล้ว ยังปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างแจ่มแจ้ง

วันรุ่งขึ้น แก้วคุยกับเสือหาญอยู่ที่จุดนัดพบ แก้วบอกว่าจะเลิกปล้นเพื่อเพ็ญ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ตำรวจก็เข้าปิดล้อม แต่สุดท้ายแก้วกับเสือหาญก็ฝ่าวงล้อมหนีไปได้อีกครั้ง

เมื่อหนีพ้นจาก ตำรวจมาได้ แก้วถามหาต้นตอที่ทำข่าวรั่วจนตำรวจมาล้อมจับ ชัย ลูกน้องเสือหาญคิดว่าน่าจะเป็น "นักร้องนั่น" ที่เดินเข้ามาพอดี แก้วโกรธจัด ความคิดที่จะเลิกเป็นเสือตามคำขอร้องของเพ็ญมลายหายไปสิ้น แก้วตะโกนลั่น "กูอยากจะพบสายลับคนนั้น จะฆ่ามันให้สมที่มันทำลายกู" (หน้า 253) เสือหาญบอกแก้วให้ใจเย็น มันรับจัดการเรื่องนี้ให้เอง แก้วตกลง

ในคืนสุดท้ายที่รินจะ ได้ฝากเสียงเพลงไว้ที่สตาร์บาร์ หลายคนมุ่งหน้ามาที่นั่น เสือหาญมุ่งมาเอาชีวิต ส่วนเจนก็มุ่งหน้ามาหาริน เพื่อบอกข่าวเรื่องแก้วมาหาดใหญ่ และหวังว่ารินจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้แก้วมอบตัว...

รินเข้าไปในบาร์ พูดคุยกับทุกคนอย่างร่าเริง บาร์เทนเดอร์ผสมเหล้าสูตรใหม่ชื่อ "สมิหรา" มอบให้รินโดยเฉพาะ ตั้งแต่วันที่รินเมาเละในคืนนั้น เขาก็ไม่แตะต้องเหล้าอีกเลย แต่คืนนี้เขาดื่ม "เมรัยแห่งชัยชนะของชีวิต" ให้ตัวเอง รินบอกกับบาร์เทนเดอร์ว่า "ทะเลของคุณวิเศษมาก ผมชอบทะเลพอๆ กับแม่น้ำและลำคลอง คุณรู้ไหม...บ้านของผมที่กรุงเทพฯคือเรือนแพ"(หน้า 255)

นี่คือบรรยากาศของสตาร์บาร์ในคืนอำลาของ ริน นันทนา

ในบาร์มีคนไม่มาก โต๊ะข้างประตูมีผู้ชายสองคนนั่งกินเหล้าโดยไม่พูดกัน โต๊ะกลางเป็นพนักงานสาวๆ ของบริษัทส่งออกมาเลี้ยงฉลองกันห้าหกคน เสียงของพวกหล่อนครื้นเครงเอาเรื่อง แต่มันก็ทำให้บรรยากาศของบาร์สดใส สนุกสนาน และนอกจากแขกขาประจำอีกสามโต๊ะที่แยกกันยึดคนละมุมร้านจู๋จี๋กับแม่สาวนั่ง ชั่วโมงแล้ว ก็มีผู้ชายหน้าเ้ยม นัยน์ตากระด้างเหมือนงูจงอางอีกคนหนึ่ง นั่งซดเบียร์อยู่บนชั้นลอย ไม่สนใจผู้ใด

ไวโอลินกรีดสายแผ่วเบานำขึ้น มา เครื่องดนตรีทั้งวงประสานรับ ฟังคล้ายระลอกคลื่นน้อยๆ โดนลมพลิ้วกระแทกฝั่ง รินลืมตาเห็นภาพเรือนแพโยกตัวในสายน้ำ เสียงที่ผ่านริมฝีปากราวผ่านจากต้นกำเนิดในหัวใจ ทุกผู้คนในบาร์เงียบกริบ ต้องอยู่ในมนต์สะกดแห่งบทเพลงของเขา

รินสวมสูทสีขาวสะอาดตา ใบหน้ายิ้มราวทักทายและอำลาไปในตัว เขาร้องด้วยความรู้สึกว่า นี่คือเพลงสุดท้ายที่ขอฝากเป็นตำนาน ณ สตาร์บาร์

เรือนแพ สุขจริง อิงกระแสธารา...(หน้า 256)

แก้ว มาถึงพอดีกับได้ยินเสียงเพลงเรือนแพ ก็เข้าใจได้ทันทีว่า "นักร้องนั่น" ก็คือรินเพื่อนรัก เขาต้องหยุดเสือหาญให้ได้ แต่เมื่อแก้วถีบประตูบาร์จนเปิดออก เสียงปืนก็ลั่น "ปัง!" มาจากชั้นลอย

ประกาย เสียงยังกังวานไม่จบสิ้น หัวใจทุกดวงเยียบเย็นกับภาพที่เห็นตรงหน้า ยิ้มของรินชาค้าง เสื้อสูทขาวสะอ้าน บัดนี้เป็นดวงแดงด้วยเลือด เริ่มจากตรงหัวใจของเขา แล้วทะลักชโลมร่าง รินล้มลงกับพื้นเวที" (หน้า 258)

แก้ววิ่งเข้ามา ในมือถือปืนมองที่เสือหาญอย่างอาฆาตมาดร้าย พอดีกับเจนวิ่งเข้ามาเห็นแก้วถือปืนยืนค้ำร่างริน ทำให้เจนเข้าใจผิดว่าแก้วเป็นคนฆ่าริน จากนั้นมีการยิงต่อสู้กัน แก้วและเสือหาญหนีไปได้ สุดท้าย รินก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดเจนเพื่อนรัก

"น้ำตา ลูกผู้ชายคลอเบ้า เจนกอดร่างปราศจากวิญญาณด้วยความแค้นแน่นอก ภาพที่แก้วยืนจ่อปืนที่ร่างริน ชีวิตนี้ยากที่จะลืม" (หน้า 260) แก้วถูกเจน เพื่อนรักพิพากษาเสียแล้ว

เมื่อข่าวการสังหารแพร่สะพัดไปทั่วหาดใหญ่ ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ คล้ายเป็นการไว้อาลัยแด่นักร้องหนุ่ม เย็นนั้น เมืองทั้งเมืองกลับนองน้ำตา เมื่อได้ยินเสียงแตรโหยหวนมาจากริมทางรถไฟ เพลงที่เคยให้ความสุขกลับกลายเป็นเพลงเศร้าเหลือแสน

จ่าสนั่นเป่าเพลงเรือนแพเป็นครั้งแรกในชีวิต น้ำตาคนชราอาบสองแก้ม แกเป่าแล้วโยนแตรทิ้งบนรางรถไฟ ไม่นาน ล้อม้าเหล็กก็บดมันกระจุย นับแต่วันนั้น จ่าสนั่นก็ไม่หยิบเครื่องดนตรีใดๆ มาเล่นอีกเลย สิ่งที่แกหยิบคือปืน วันที่เสียงของมันกังวาน ชัย สมุนเสือหาญ กลายเป็นศพคาตลาด (หน้า261)

เจนกลับกรุงเทพฯ เพ็ญมาพบเจน เจนพยายามเกลี้ยกล่อมให้เพ็ญช่วยติดต่อแก้ว เพ็ญรับปากโดยนัดแก้วมาพบที่เรือนแพ แก้วมาตามนัด บอกเพ็ญว่า เขาไม่ได้ฆ่าริน เพ็ญเชื่อ แต่ตอนนี้เจนพาตำรวจมาล้อมเรือนแพ ขอให้แก้วมอบตัว แก้วคิดจะมอบตัว แต่เสือหาญที่ซ่อนตัวอยู่ในแพเล็กที่พรางด้วยกอสวะ ก็พาพวกมาโอบล้อมตำรวจหมายชิงตัวแก้ว

แก้วร้องห้ามไม่ทัน เสือหาญยิงเจนตกน้ำ เสือหาญจึงได้รู้ว่าทั้งสามเป็นเพื่อนรักกัน มันรู้ตั้งแต่เห็นสายตาแก้วในคืนที่ยิงรินที่สตาร์บาร์นั่นแล้ว เสือหาญคิดว่าคงจะอยู่ร่วมโลกกับแก้วอีกไม่ได้เช่นกัน เสือหาญยิงแก้วตกน้ำไปอีกคน เพ็ญกระโดดตามแก้วลงไป ทั้งคู่ไปเกาะอยู่ข้างแพ แก้วมีโอกาสได้มอบแหวนที่เขาเคยมอบให้เพ็ญ บอกเมียรักว่า แหวนวงนี้สะอาดดีแล้ว เขาล้างมันด้วยเลือดของเขาเอง กระแสน้ำเชี่ยวกรากจนเพ็ญหมดแรงเกาะแพ ถูกพัดลอยไปติดที่กอสวะ ซึ่งเป็นแพที่พรางตัวเสือหาญ

เสือหาญรอยิงเจนเมื่อเจนโผล่จากน้ำ แก้วซึ่งยังพอมีสติดกัดฟันปืนขึ้นบนแพได้ ตอนนี้เกิดพายุฝนเทกระหน่ำ เลือดของแก้วไหลนองผสมน้ำฝน แก้วเห็นเจนต่อสู้กับเสือหาญ เจนพยายามจะปีนขึ้นแพแต่ก็ถูกเสือหาญถีบลงน้ำ เห็นเจนกำลังจะเสียท่าขณะเจนปืนขึ้นตลิ่งอย่างหมดแรง ส่วนเพ็ญแม้จะพยายามช่วยเจน แต่ก็ถูกเสือหาญชกคว่ำอยู่ริมตลิ่ง ปืนอยู่ใกล้ตัวแก้ว แต่ก็หมดแรงไปคว้า แก้วทำได้แค่เพียงใช้มีดที่ติดตัวมาฟันเชือกผูกแพให้ขาด ปล่อยเรือนแพทั้งลำแล่นลิ่วไปในกระแสน้ำเชี่ยว เรือนพุ่งเข้าชนแพไม้ใผ่ของเสือหาญ ซึ่งข้อเท้าติดอยู่กับแพ ทำให้หนีไปไหนไม่รอด

เสือหาญถูกแพไม้ไผ่เบียดจนร่างแหลกยับคาแพ แต่เสือหาญก็ยิงแก้วจนพรุนไปทั้งร่าง ร่างของแก้วค่อยๆ จมหายไปในสายน้ำเชี่ยวขณะที่พายุกำลังโหมกระหน่ำ เพ็ญจะลงน้ำไปหาแก้ว แต่เจนรั้งเธอไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนมองภาพนั้นอย่างสลดใจ เพ็ญกรีดเสียงร้องขึ้นในความเงียบ เสียงนั้นเย็นเยือกเข้าไปในหัวใจทุกดวง

สายน้ำ กลืนทุกอย่างหมดสิ้น แต่สายน้ำไม่เคยกลืนความทรงจำเอาไว้ได้

จบสิ้นแล้ว...เรือนแพ...ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้น และจุดจบของมิตรภาพและความรัก

ต้องขอขอบคุณ exact ที่หยิบละครน้ำดีนี้ออกมาทำใหม่ และหวังว่าครั้งนี้คงจะประทับใจกันอีกครั้ง รอพิสูจน์อาทิตย์หน้า ไม่พลาดแน่ๆ

จากคุณ : liver_wen

เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 54 21:34:38

ที่มา

liver_wen.(2554).นวนิยาย เรือนแพ ... ค้นเมื่อ สิงหาคม 12, 2554,จาก

http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2011/06/
A10681873/A10681873.html

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC. Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are registered trademarks of OCLC
Revised:March 2009


Send comments to Chumpot@hotmail.com