|
895.912 วรรณคดีไทย (Thai Literature)
ขุุนช้างขุนแผน
ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม เรื่อง ขุนช้างขุนแผน
บทนำ
1. บทนำ
ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ และค่านิยมในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นในช่วงเวลาที่อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากตะวันตกยังไม่แพร่กระจายเข้าสู่สังคมไทยมากนัก โดยพิจารณาจากลักษณะของวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นไทยได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริง
ดังนั้น การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยให้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อส่งเสริมเผยแพร่ให้ชาวบ้านนำภูมิปัญญาเหล่านั้นไปสืบทอดปรับปรุงต่อไป
2. ภูมิหลัง
2.1 ภูมิหลังของเรื่อง เรื่องขุนข้างขุนแผน มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2034-2072 เนื้อเรื่องเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนไทยทำสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกกับวิถีชีวิตของชาวเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี แล้วเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นนิทานพื้นเมืองของเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือ คำให้การของชาวกรุงเก่า ซึ่งนับว่าเป็นเค้าที่มาของเรื่องขุนช้างขุนแผน นับเป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องยาวที่สุดของชาวสุพรรณบุรี ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือ สมัยสมเด็จพระพันวษา ซึ่งเข้าใจกันว่า คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพราะมีเนื้อเรื่องตรงกับประวัติศาสตร์ ตอนทำศึกเมืองเชียงใหม่
2.2 ภูมิหลังของกลอนเสภา มีผู้สันนิษฐานกำเนิดของการขับเสภา เกิดขึ้นเพราะสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าการเล่านิทานเป็นการมหรสพอย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโกนจุก งานบวช งานแต่งงาน หรืองานศพก็ตาม เจ้าภาพจะว่าจ้างนักเล่านิทานมาเล่านิทานให้แขกในงานฟัง นิทานที่นิยมเล่ากันมากที่สุดคือ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน การขับเสภาคงเนื่องมาจากการเล่านิทาน คือ เล่านิทานฟังกันนานๆ เข้าก็จืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลกโดยแต่งเป็นบทกลอนให้คล้องจองกันใช้ขับลำนำ มีกรับเป็นเครื่องเคาะจังหวะ
3. ประวัติและวัตถุประสงค์
ประวัติ เรื่องขุนช้างขุนแผนมีผู้แต่งไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เบื้องต้นเล่าเพียงมุขปาฐะ(นิทานขนาดยาว) ต่อมาภายหลังได้มีผู้นำเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนเสภาแล้วใช้ในการขับเสภา แล้วแต่งเป็นกลอนเสภาเฉพาะบางตอน จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น ครั้นเสียกรุงแล้วบางตอนก็สูญหายไป บางตอนยังมีต้นฉบับเหลืออยู่ จึงเหลือมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แต่เพียงบางตอนเท่านั้น เรื่องไม่ติดต่อกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีพระราชประสงค์จะฟื้นฟู ศิลปและวรรณกรรม ให้กลับฟื้นคืนดีเหมือนเดิมจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีหลายคนช่วยกันรวบรวมและแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผนต่อเติมขึ้น จนตลอดเรื่อง การชุมนุมกวีครั้งนั้นจึงเป็นการประกวดฝีปากเชิงกลอนอย่างเต็มที่ ทำให้เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีความไพเราะเพราะพริ้งมาก กระทั่งถูกยกย่องให้เป็น ยอดวรรณกรรมประเภทกลอนสุภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในการขับเสภา ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟังผู้อ่าน และแสดงความสามารถเชิงประพันธ์ของผู้แต่ง
4. เนื้อหา และบทวิเคราะห์ภาพสะท้อนของภูมิปัญญาจากวรรณกรรม
วรรณกรรมเรื่องนี้ให้คุณค่าทางสติปัญญา หรือ ความรู้ ความคิด ภูมิปัญญาในด้านต่างๆ มากมาย เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและสภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตลอดจนสำนวนโวหารที่ไพเราะ และเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี
วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณีต่างๆ ทั้งจากประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลต่างๆ ไว้ ดังนี้
4.1 วิถีชีวิต วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้สะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตตั้งแต่อ้อนออกสู่ความเป็นหนุ่มสาว ทั้งชาววัด ชาววัง และชาวบ้าน หมายรวมถึงวิถีชีวิตเจ้ากับไพร่.... คติ ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม วัฒนธรรม ประเพณีภูมิปัญญาของชาวบ้านในสมัยนั้นได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริงมาก
4.2 ค่านิยม
4.2.1 ความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ในวรรรณกรรมได้กล่าวถึงระบบศักดินาที่ใช้ในการปกครองสมัยก่อน เพราะแม้กระทั่งชื่อเรื่องก็สื่อให้เห็นถึงระบบศักดินาอย่างชัดเจน การถวายตัวในราชสำนัก เพื่อรับใช้และแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ดังเช่น เมื่อพลายงามโตขึ้นได้ถวายตัวเพื่อรับใช้ในราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของครอบครัวขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาก พระมหากษัตริย์ตรัสสิ่งใดก็จะเชื่อฟัง ตอนที่ พลายงามถวายตัวแด่สมเด็จพระพันวษา
บทเสภา : พลายงามถวายตัว
บทเสภา : พลายงามอาสาทำศึกเมืองเชียงใหม่
ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง
ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์
พ้นพิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้
จะขอรองมุลิกาพยายาม
พลางกราบสามทีสดับตรับโองการ
ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร
มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา
4.2.2 การบ้านการเรือนของลูกผู้หญิง ลูกผู้หญิงจะต้องได้รับการฝึกฝนการบ้านการเรือน เพื่อให้เป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อม ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ พระเจ้ากรุงไกรและองค์ราชินีสอนพระธิดา ความว่า
อีกอย่างการงานคร้านทั้งนั้น ทั่นว่าเมียอุบาทว์ชาติกาลี
อันหญิงดีที่เป็นภรรยา กำหนดไว้ในตำราว่าเป็นสี่
4.2.3 การศึกษาเล่าเรียนของลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายจะต้องเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี คาถาอาคม อันเป็นประโยชน์ตามความนิยมในสังคมไทยสมัยก่อน ยายทองประศรีบอกกับพลายงาม ความว่า
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์
หนึ่งได้ศึกษาวิชาชาญ เป็นแก่นสารคือคุณอุดหนุนตัว
4.2.4 การเคารพผู้ใหญ่ สมัยก่อนการทำความเคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดู การทำความเคารพจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังเสภาว่า
เจ้าออแก้วประนมก้มกราบไหว้ ท่านผู้ใหญ่ลูบหลังแล้วสั่งสอน
4.3 ประเพณี
4.3.1 ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนตาย ประเพณีเหล่านี้ล้วนจัดกระทำขึ้นในแต่ละช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทั้งสิ้น นับตั้งแต่การเตรียมการเกิด การโกนจุด การบวช การแต่งงาน การตาย และการทำศพ
4.3.1.1 ประเพณีการเกิด ในสมัยโบราณวิทยาการด้านการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นอันตรายจากการเกิดจึงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีและความเชื่อกันมากมายเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิดมีขึ้นแก่หญิงมีครรภ์จึงมีหมอตำแยเพื่อช่วยทำคลอด เช่น เมื่อจวนใกล้จะคลอดต้องตามหมอตำแยมาช่วยทำการคลอด เมื่อเด็กคลอดออกมาถึงพื้นเรียกว่า ตกฟาก ต้องจดเวลาของเด็กไว้เพราะเชื่อตามหลักโหราศาสตร์ว่าเวลาตกฟากมีความสำคัญต่อตั้งชื่อการทำนายเรื่องโชคชะตาในชีวิตของเด็กดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ทองประศรีคลอดพลายแก้วแล้วตั้งชื่อตามเวลาตกฟาก
ปีขาลวันอาคารเดือนห้า ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย
กรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธายา
ให้ใส่ยอดพระเจดีย์ใหญ่ สร้างไว้แต่เมื่อครั้งกรุงหงสา
เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว
ส่วนแม่ของเด็กนั้นเมื่อคลอดแล้วต้อง นอนไฟ หรือ อยู่ไฟ เพื่อรักษาตัว ดังเสภา ว่า
เอาขึ้นใส่อู่แล้วแกว่งไกว แม่เข้านอนไฟให้ร้อนทั่ว
เดือนนึงออกไฟไม่หมองมัว ขมิ้นแป้งแต่ตัวน่าเอ็นดู
4.3.1.2 ประเพณีการทำขวัญ การจัดพิธีทำขวัญเด็ก พ่อแม่จะจัดบายศรีและเครื่องบัตรพลีสำหรับสังเวยพระภูมิเจ้าที่ เสร็จแล้วก็ทำขวัญ แล้วเอาสายสิญจน์มาเสกผูกข้อมือเด็กทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า ผูกขวัญ แล้วให้ศีลให้พรตามประเพณี เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเป็นการแนะนำสมาชิกใหม่ของครอบครัวให้วงศาคณาญาติรู้จัก ในเสภากล่าวถึง ตอนทำขวัญพลายแก้ว ไว้ว่า
จัดแจกแขกนั่งเป็นวงกลม พงศ์พันธุ์พร้อมอยู่ทั้งปู่ย่า
ยกบายศรีแล้วโห่ขึ้นสามลา เวียนแว่นไปมาโห่เอาชัย
ศรีศรีวันนี้ฤกษ์ดีแล้ว เชิญขวัญพลายแก้วอย่าไปไหน
ขวัญมาอยู่สู่กายให้สบายใจ ชมช้างม้าข้าไททั้งเงินทอง
4.3.1.3 ประเพณีการโกนจุก เมื่อเด็กอายุเข้าสู่วัยรุ่น คือ ชายอายุ 13 ปี หญิงอายุ 11 ปี พ่อแม่ก็จะจัดพิธีโกนจุก เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการแสดงว่าเข้าสู่วัยรุ่น ในเสภาขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงโกนจุกพลายงาม ตอนที่ ทองประศรีทำพิธีโกนจุกพลายแก้ว
ไว้ดังนี้
ทองประศรีดีใจได้ฤกษ์ยาม ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้วกู
จะโกนจุกสุกดิบขึ้นสิบค่ำ แกทำน้ำยาจีนต้มต้นหมู
4.3.1.4 ประเพณีการบวช สำหรับเด็กผู้ชายพ่อแม่อาจจะให้ไปศึกษาหาความรู้กับพระที่วัดด้วยการนำตัวไปบรรพชาเป็นสามเณร จนมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงจะจัดประเพณีการบวช หรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุ คนไทยถือว่าการบวชเป็นการอบรมบ่มนิสัย ฉะนั้นผู้ที่บวชเป็นพระแล้วจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบัณฑิตหรือเป็นคนสุกที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก่อนบวชมีการลาอุปสมบทเพื่อให้ญาติมิตรมีโอกาสอนุโมทนาส่วนบุญและได้กุศล คือได้แสดงความชื่นชมยินดีในการทำบุญของผู้อื่น นอกจากนี้ยังให้ผู้บวชได้มีโอกาสขอขมาโทษผู้อื่นที่ตนเคยล่วงเกินไว้ให้อโหสิกรรมด้วย สำหรับเรื่องขุนช้างขุนแผนในตอนที่ทองประศรีบวชเณรพลายแก้วที่วัดส้มใหญ่ กวีได้กล่าวไว้ว่า ตอนที่ ทองประศรีพาพลายแก้วมาบวชที่วัดส้มใหญ่ ความว่า
ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็นแก่นสาร
ด้วยขุนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ
4.3.1.5 ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงานถือเป็นการตั้งวงศ์ตระกูลและสืบต่อให้รุ่งเรืองสืบไป ปัจจุบันยังคงประกอบพิธีตามขั้นตอน ในเสภาพิธีเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นสู่ขอ ตอนเรียกสินสอดทองหมั้น ตอนปลูกเรือนหอ ตอนยกขันหมาก ตอนพิธีสวดมนต์ซัดน้ำ และตอนส่งตัว ดังกวีกล่าวไว้ว่า ตอน นางศรีประจันเรียกสินสอด เสภาว่า
ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้
ผ้าไหว้สำรับหนึ่งพอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน
แต่เมื่อสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป การอยู่กันก่อนแต่ง หรืออยู่กินกันโดยไม่เข้าพิธีแต่งงาน จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากในสังคมปัจจุบัน
4.3.1.6 ประเพณีการตาย พิธีแรกคือ การอาบน้ำศพ เชื่อกันว่าเพื่อชำระสิ่งสกปรกให้ผู้ตายนำวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปสู่สุคติ โบราณมีการอาบน้ำศพเพื่อให้สะอาดอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันจัดทำเพียงรดน้ำที่มือของผู้ตายเท่านั้น นอกจากนี้ในปากผู้ตายนิยมใส่เงินไว้โดยมีความเชื่อความคติโบราณว่าเพื่อให้ผู้ตายนำไปให้ผู้รักษาประตูของภพอื่น หรือให้เป็นข้อคิดว่าตอนมีชีวิตอยู่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ ตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย เป็นข้อควรพิจารณาเพื่อขจัดความโลภ การตั้งศพสวดพระอภิธรรม การทำบุญเลี้ยงพระ และจัดพิธีเผาศพ เมื่อเผาเสร็จมีการเก็บอัฐิเพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์หรือนำไปลอยน้ำ เช่น ตอนทำศพนางวันทอง เสภา ว่า
เกือบจะบ่ายชายแสงสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ำและชำระ
ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ
ปี่ชวาร่ำร้องกลองชนะ นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออหน้าหาช้าไม่
4.3.2 ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงประเพณีเกี่ยวกับเทศกาลไว้ 2 อย่าง คือ ประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ และสารทไทย ดังนี้
4.3.2.1 เทศกาลสงกรานต์ ในสมัยก่อนเราถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 13-14-15 เมษายนของทุกปี ตอนเช้าจะมีการทำบุญที่วัด ตอนบ่ายอาจมีการก่อพระทราย และการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและเป็นการทำบุญร่วมกันตามความเชื่อที่ตนมีต่อศาสนาและพร้อมกะนนี้ก็มักจะจัดให้มีการสนุกสนานรื่นเริงใจควบคู่กับไปด้วย ดังความในคำกลอนที่ว่า
ทีนี้จะกล่าวถึงเรื่องเมืองสุพรรณ ยามสงกรานต์คนนั้นก็พร้อมหน้า
จะทำบุญให้ทานการศรัทธา ต่างมาที่วัดป่าเลไลยก์
หญิงชายน้อยใหญ่ไปแออัด ขนทรายเข้าวัดอยู่ขวักไขว่
ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้
4.3.2.2 เทศกาลสารทไทย วันสารทไทยนี้ตรงกับวันแรม 10 ค่ำเดือนสิบ ก่อนถึงวันสารทไทย ชาวบ้านจะจัดหาข้าวของสำหรับไปทำบุญที่วัด แต่ของที่ทุกคนนิยมจัดหาไปเหมือนๆ กัน คือ กระยาสารทและกล้วยไข่ เพื่อไปทำบุญที่วัด และทำพิธีบังสุกุลกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและเพื่อความสามัคคีในระหว่างเพื่อนบ้าน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการทำบุญในเทศกาลสารทไทยไว้ว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
4.3.3 ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา ประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน คือ ประเพณีการเทศน์มหาชาติ การเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่า การได้มีโอกาสฟังเทศน์ มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ ในหนึ่งวันถือว่าเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ว่าถ้ามนุษย์สามารถฟังเทศนามหาชาติ ที่มีตัวอย่างเช่น พระเวสสันดร ซึ่งมีความตั้งใจ ว่าจะให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ลูกเมีย คนใดก็ตามที่ละสิ่งเหล่านี้ได้ย่อมมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อตนเองและผู้อื่น สำหรับวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงประเพณีการเทศน์มหาชาติว่าจัดให้มีในเดือน 10 เพื่อทำเนื่องกับเทศกาลสารทไทย กวีได้กล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมของชาวบ้านว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
พระมหาชาติทั้งสิบสามกัณฑ์ วัดป่าเลไลยก์นั้นพระวัดหน้า
ตาปะขาวเฒ่าแก่แซ่กันมา พร้อมกันนั่งปรึกษาที่วัดนั้น
บ้างก็รับเอาทศพรหิมพานต์ บ้างก็รับเอาทานกัณฑ์นั่น
4.4 ความเชื่อ จากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ภาพสังคมวัฒนธรรมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในระยะเวลาดังกล่าว ความเชื่อและไสยศาสตร์ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย ความเชื่อลักษณะนี้จะปรากฏเด่นชัดในการประกอบพิธีธรรม เพราะพิธีกรรมต่าง ๆ จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากคนทุกชั้น ดังนั้น เรื่องราวของขุนช้างขุนแผนจึงกำหนดให้ตัวละครต้องเกี่ยวข้องกับความเชื่อและไสยศาสตร์เกือบตลอดทั้งเรื่อง การพิจารณาเรื่อง ความเชื่อและไสยศาสตร์ ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน จึงน่าจะช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อและวิธีแก้ปัญหาของคนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้โดยอ้อม
4.4.1 ความฝัน สำหรับความเชื่อที่ปรากฏมากที่สุดในเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องความฝัน ซึ่ง ความฝัน ที่ปรากฏในเรื่อง มักจะเป็นความฝันเพื่อบอกเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่
1.ฝันดี เช่น นางทองประศรีฝันว่าได้แก้ว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ พอคลอดลูกออกมาเป็นชาย ก็ตั้งชื่อว่า พลายแก้ว หรือขุนแผน พระเอกของเรื่อง
2.ฝันร้าย เช่น นางวันทองฝันว่ามีคนมาทำร้ายพลายงาม ซึ่งสอดคล้องกับ เหตุการณ์ที่ขุนช้างลวงพลายงาม ลูกชายของวันทองที่เกิดจากขุนแผนไปฆ่าในป่า เนื่องจากรู้สึกอับอาย ที่ผู้คนต่างพากันล้อเลียน
4.4.2 ลางสังหรณ์ ความเชื่ออีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์ ส่วนใหญ่ ลางสังหรณ์ ที่ปรากฏในเรื่องจะเป็นลางร้าย มากกว่า ลางดี เช่น นางวันทองเห็นแมงมุมกำลังทุ่มอกตัวเอง เมื่อคราวที่ พลายงามกำลังจะถูกขุนช้างฆ่าอยู่กลางป่า หรือตอนที่ขุนแผนกำลังจะเอาดาบฟันขุนช้างขณะที่ขุนช้างนอนหลับอยู่ ก็มีจิ้งจกร้องทักขึ้น ขุนแผนจึงได้สติ มิได้ฆ่าขุนช้าง ตัวอย่าง เสภา ตัวอย่าง ลางร้ายที่เณรพลายแก้วเจองู ความว่า
ก้างลงอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง งูเห่าหางเลื้อยฟู่ชูหัวร่อน
แผ่แม่เบี้ยขวางหนทางจร เณรเห็นสังหรณ์เป็นลางร้าย
4.4.3 ไสยศาสตร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.ไสยขาว เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เช่น การดูเมฆเพื่อหาฤกษ์ยาม
2.ไสยดำ จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งทำร้ายผู้อื่น สำหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ การทำเสน่ห์ โดยเฉพาะ การฝังรูปฝังรอย เช่น ตอนที่เถนขวาดทำเสน่ห์ให้พลายงามมารักนางสร้อยฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น
4.4.4 เครื่องราง เช่น ผ้าซิ่น หรือ ตะกรุด ก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุดและเครื่องราง ในงานวรรณกรรมไทยหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน
4.4.5 พุทธศาสนา ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น ชาวบ้านมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เช่น การทำบุญฟังเทศน์ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงมีคำสอนที่สอดแทรกอยู่พิธีกรรมทางศาสนา ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน อยู่มากมาย
4.4.6 ความเชื่อในอำนาจพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ทรงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเเละทรงตัดสินคดีความต่างๆ หากมีผู้ถวายฎีกา รวมทั้งสามารถให้คุณให้โทษแก่ทุกคนได้ ทำให้พสกนิกรมีทั้งความจงรักภักดี ความกลัวเกรง และความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตัวละครทุกตัวในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ล้วนมีความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งพลายงาม นางวันทอง ขุนแผน และขุนช้าง เเสดงความเชื่อทางด้านนี้ชัดเจนที่สุด
4.5 ภูมิปัญญา
4.5.1 ด้านภาษาและคำสอน การเขียนวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนนี้ขึ้นเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพื่อความติดใจและประทับใจ ทำให้ผู้อ่านสามารถสังเกต จดจำนำไปใช้ก่อให้เกิดการใช้ภาษาที่ดี ทั้งการใช้คำ การใช้ประโยค การใช้โวหาร การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นตัวอย่างที่ดีที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ เช่น สำนวน คำให้พร คำสู่ขวัญ การเปรียบเปรย อุปมา อุปไมย คำคม และสุภาษิต ตอนที่ นางทองประศรีสอนสั่งขุนแผนก่อนไปรับราชการในวัง เป็นสุภาษิตสอนใจ ความว่า<จงอุตส่าห์อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฝึกหัดราชการให้จงได้
บทเสภา ตอนที่ขุนแผนต่อว่านางวันทอง เป็นการเปรียบเปรยว่า กา คือ นางวันทอง
เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา
4.5.2 ด้านกฎหมาย ในสมัยก่อนไม่มีตัวบทกฎหมายที่แน่นอน พอมีคดีความอะไรก็ต้องอาศัยพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ และก็ขึ้นอยู่กับพระอารมณ์ด้วย ดังบทเสภา ตอนที่สมเด็จพระพันวษาจะทรงตัดสินคดีชิงชู้ระหว่างขุนช้างและขุนแผน ความว่า
ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลตามคำลูกขุนว่า
วันทองส่งคืนขุนแผนไป ตามในพระราชกฤษฎีกา
4.5.3 ด้านการรักษาโรค ในบทเสภาได้กล่าวถึง ว่าน ที่มีสรรพคุณที่ใช้เป็นยาในการรักษาโรค ดังเสภา ที่ว่า ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา ถูกดาบมรณาลงดาดดิน
4.5.4 ด้านที่อยู่อาศัย คุ้มขุนช้าง" เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ สร้างตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน สะท้อนภาพถึงภาวะบ้านเรือนไทยของเศรษฐีไทยโบราณ ว่ามีรั้วรอบขอบคูแบ่งเป็นชั้นเป็นดอยอย่างไร มีไม้ประดับและเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สถาปัตยกรรมอย่างเรือนไทยโบราณนั้นได้แบ่งห้องหอเรือนนอน หอกลาง ชานดอกไม้ และโรงเรือนข้าทาสเอาไว้เป็นส่วน ที่นอกชานมักใช้ปลูกไม้กระถาง วางอ่างน้ำ ปลูกตะโกดัดและบอนไซ ซึ่งคนแต่ก่อนนิยมปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้เชยชม ดังตัวอย่างเสภาในหัวข้อภูมิปัญญาด้านการเกษตรที่กล่าวถึงนอกชานของเรือนขุนช้างไว้อย่างน่ารื่นรมย์
4.5.5 ด้านการเกษตร ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืนมานั้น บรรยายบรรยากาศบนชานเรือนของขุนช้าง ซึ่งเป็นคหบดีเมืองสุพรรณไว้น่าดูนัก อ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกอยู่กลางชานเรือนของขุนช้าง อาทิเช่น พิกุล ยี่สุ่น ข่อย กุหลาบ มะลิซ้อน เป็นต้น ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืน ความว่า
โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างสร้างไว้อยู่ดาษดื่น
กระถางแถวแก้วเกตพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว
ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ้อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา
ลำดวนยวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม
มะสังดัด หรือบอนไซ ในปัจจุบัน มาอยู่บนเรือนดอกไม้แสดงว่าขุนช้างนั้นเล่น บอนไซ มาเก่าพอๆ กับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็มีเรือนแขวนกรงนกชนิดต่างๆ รวมทั้งเลี้ยงปลาพันธุ์สวยๆ งามๆ เอาไว้มาก สมฐานานุรูปของเศรษฐีไทยทุกระเบียด
4.5.6 ด้านเครื่องดนตรี บทเพลง และการละเล่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนทำศพนางวันทอง มีการละเล่นต่างๆ เช่น การละเล่นเพลงปรบไก่ ไว้ด้วยว่า
นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า
รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป
เพลงปรบไก่ เป็นการละเล่นพื้นเมืองมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า จะเก่าแก่กว่าเพลงพื้นบ้านประเภทอื่น ๆ ของภาคกลางผู้เล่นร้องโต้ตอบกันโดยยืนเป็นวงกลม มักร้องหยาบๆ สามารถเล่นเป็นเรื่องได้ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อบวงสรวงศาลประจำหมู่บ้านและทำพิธีขอฝน ชาวบ้านดอนข่อยไร่คาวังบัวที่โยกย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นจะกลับมาร่วมพิธีบวงสรวงศาลทุกปี เพราะเชื่อกันว่าถ้าใครไม่กลับมาบูชา ตนเองและสมาชิกในครอบครัวจะประสบเหตุร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งยังเชื่อว่าความทุกข์ร้อนต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เมื่อขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อปู่แล้วจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ร้อนทั้งหลายให้สิ้นไป ดังนั้นเมื่อผู้ใดเดือดร้อนจึงมักบนบานหลวงพ่อปู่เสมอและเมื่อพ้นทุกข์แล้วก็จะแก้บนด้วยการเล่นเพลงปรบไก่
| |