ประวัตินาฏศิลป์ไทย
เป็นศิลปะการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะ กำหนดว่า
ต้องประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง
รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์
นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ เช่น
เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งสุข
หรือความทุกข์และสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ
หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า
โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ
เป็นต้น
นอกจากนี้นาฏศิลป์ไทย
ยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น
วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวรรณกรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้าและตำนานการฟ้อนรำโดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมคือผ่านชนชาติชวาและเขมร
ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย
เช่นตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของพระอิศวร
ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ฌ ตำบลจิทรัมพรัม
เมืองมัทราส อินเดียใต้ ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดูนับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ
แต่งโดยพระภรตมุนีเรียกว่าคัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์
ถือเป็นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสานและถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ
แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมันกรุงศรีอยุธยาตารมประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฏราชที่สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย
ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
และมีการแก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์
จนนำมาสู่การประดิษฐ์ท่าร่ายรำและละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ประเภทของนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ของไทย
แบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดง เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท คือ
- โขน
เป็นการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยที่มีเอกลักษณ์คือ
ผู้แสดงจะต้องสวมหัวที่เรียกว่าโขน
และใช้ลีลาท่าทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์
การเจรจาของผู้พากย์และตามทำนองเพลงหน้าพาทย์ด้วยวงปี่พาทย์
เรื่องที่นิยมนำมาแสดง คือ พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์
แต่งกายเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ที่เป็นเครื่องต้น เรียกว่า
การแต่งกายแบบ “ยืนเครื่อง” มีจารีตขั้นตอนการแสดงที่เป็นแบบแผน
นิยมจัดแสดงเฉพาะงานพิธีสำคัญ ได้แก่ งานพระราชพิธีต่าง ๆ
- ละคร
เป็นศิลปะการร่ายรำที่เล่นเป็นเรื่องราว มีพัฒนาการมาจากการเล่านิทาน
ละครมีเอกลักษณ์ในการแสดงและการดำเนินเรื่องด้วยกระบวนลีลาท่าทาง เข้าบทร้อง
ทำนองเพลงและเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์มีแบบแผนการเล่นที่เป้นทั้งของชาวบ้านและของหลวงที่เรียกว่า
ละครโนราชาตรี ละครนอกและละครใน เรื่องที่นิยมนำมาแสดงคือ พระสุธน สังข์ทอง
คาวี อิเหนา อุณรุฑ นอกจากนี้ยังมีละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่อีกหลายชนิด
การแต่งกายของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า
การแต่งกายแบบยืนเครื่อง
นิยมเล่นในพิธีสำคัญและงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์
- รำและระบำ
เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำประกอบเพลงดนตรีและบทขับร้อง
โดยไม่เล่นเป็นเรื่องราว
ในที่นี้หมายถึงรำและระบำที่มีลักษณะเป็นการแสดงแบบมาตราฐาน
ซึ่งมีความหมายที่จะอธิบายได้พอสังเขปดังนี้
- รำ หมายถึง
ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีผู้แสดงตั้งแต่ 1-2 คน เช่นการรำเดี่ยว การรำคู่
การรำอาวุธ เป็นต้น มีลักษณะการแต่งกายตามรูปแบบของการแสดง
ไม่เล่นเป็นเรื่องราว อาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้าทำนองเพลงดนตรี
มีกระบวนท่ารำ โดยเฉพาะการรำคู่จะต่างกับระบำ
เนื่องจากท่ารำจะมีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน
และเป็นบทเฉพาะสำหรับผู้แสดงนั้น ๆ เช่น รำเพลงช้า – เพลงเร็ว รำแม่บท
รำเมขลา – รามสูร เป็นต้น
- ระบำ หมายถึง
ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีผู้แสดงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
มีลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงกัน กระบวนท่าร่ายรำคล้ายคลึงกัน
ไม่เล่นเป็นเรื่องราว อาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้าทำนองเพลงดนตรี
ซึ่งระบำแบบมาตรฐานมักบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์
การแต่งกายนิยมแต่งกายยืนเครื่องพระ – นางหรือแต่งแบบนางในราชสำนัก เช่น
ระบำสี่บท ระบำกฤดาภินิหาร ระบำฉิ่ง
- การแสดงพื้นเมือง
เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีทั้งรำ ระบำ
หรือการละเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนตามวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นภูมิภาคได้ 4 ภาค ดังนี้
- การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น
หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า“ ฟ้อน ” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา
และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น
ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า
อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน
เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปู่เจ่ วงกลองแอว เป็นต้น
โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณี หรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่
ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหม และฟ้อนเจิง
- การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชนชาวพื้นเมืองภาคกลาง
ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกตรกรรม
ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีและเพื่อความบันเทิงสนุกสนาน
เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศกาลฤดูเก็บเกี่ยว เช่น
การเล่นเพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว รำโทนหรือรำวง รำเถิดเทิง รำกลองยาว
เป็นต้น มีการแต่งกายตามวัฒนธรรมของท้องถิ่น และใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น
กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง
- การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคอีสาน
หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ๆ คือ
กลุ่มอีสานเหนือ มีวัฒนธรรมไทยลาวซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า “ เซิ้ง ฟ้อน
และหมอรำ “ เช่น เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ลำกลอนเกี้ยว ลำเต้ย
ซึ่งใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้สนประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน ฉิ่ง ฉาบ
ฆ้องและกรับ ภายหลังเพิ่มเติมโปงลางและโหวดเข้ามาด้วย
ส่วนกลุ่มอีสานใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า เรือม หรือ
เร็อม เช่น เรือมลูดอันเร หรือรำกระทบสาก รำกระโน็บติงต๊อง
หรือระบำตั๊กแตนตำข้าว รำอาไย หรือรำตัด หรือเพลงอีแซวแบบภาคกลาง
วงดนตรีที่ใช้บรรเลงคือ วงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรีคือ ซอด้วง ซอตรัวเอก
กลองกันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนาและเครื่องประกอบจังหวะ
การแต่งกายประกอบการแสดงเป็นไปตามวัฒรธรรมพื้นบ้าน
ลักษณะที่รำและท่วงทำนองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ
รวดเร็วและสนุกสนาน
- การแสดงพื้นเมืองภาคใต้
เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นเมืองภาคใต้อาจแบ้งตามกลุ่มวัฒนธรรมได้
2 กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา
และวัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำเปง มะโย่ง ( การแสดงละคร ) ลิเกฮูลู
( คล้ายลิเกภาคกลาง ) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญ เช่น กลองโนรา
กลองโพน กลองปืด กลองโทน ทับ กรับพวง โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ไหน รำมะนา ไวโอลิน
อัคคอร์เดียน ภายหลังได้มีระบำที่ปรับปรุงจากกิจกรรมในวิถีชีวิต
ศิลปาชีพต่างๆ เช่น ระบำร่อนแร่ กรีดยาง ปาเต๊ะ เป็นต้น
ดนตรีและเพลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์
ดนตรี เพลง
และการขับร้องเพลงไทยสำหรับประกอบการแสดง สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
และเพลงสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
1. ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย ประกอบด้วย
1.1 ดนตรีประกอบการแสดงโขน –
ละคร
วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทยคือ วงปี่พาทย์
ซึ่งมีขนาดของวงเป็นแบบวงประเภทใดนั้นข้นอยุ่กับลักษณะของการแสดงนั้น ๆ ด้วย เช่น
การแสดงโขนนั่งราวใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า 2 วง
การแสดงละครในอาจใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่
หรือการแสดงดึกดำบรรพ์ต้องใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นต้น
-
1.2ดนตรีประกอบการแสดงรำและระบำมาตราฐาน
การแสดงรำและระบำที่เป็นชุดการแสดงที่เรียกว่า
รำมาตราฐานและระบำมาตราฐานนั้น
เครื่องดนตรีทีใช้ประกอบการแสดงอาจมีการนำเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบการแสดง
จะใช้วงปี่พาทย์บรรเลง เช่น ระบำกฤดาภินิหาร อาจนำเครื่องดนตรี ขิมหรือซอด้วง
ม้าล่อ กลองต๊อก และกลองแด๋ว
มาบรรเลงในช่วงท้ายของการรำที่เป็นเพลงเชิดจีนก็ได้
1.3
ดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมือง ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงพื้นเมืองภาคต่าง ๆ
ของไทยจะเป็นวงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของแต่ละภูมิภาค
ได้แก่
- ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ มีเครื่องดนตรี เช่น พิณเปี๊ยะ ซึง สะล้อ ปี่แน ปี่กลาง
ปี่ก้อย ปี่ตัด ปี่เล็ก ป้าดไม้ (ระนาดไม้) ป้าดเหล็ก (ระนาดเหล็ก ) ป้าดฆ้อง
(ฆ้องวงใหญ่) ฆ้องหุ่ย ฆ้องเหม่ง กลองหลวง กลองแอว กลองปู่เจ่ กลองปูจา
กลองสะบัดไชย กลองมองเซิง กลองเต่งทิ้ง กลองม่าน และกลองตะโล้ดโป้ด
เมื่อนำมารวมเป็นวง จะได้วงต่าง ๆ คือ วงสะล้อ ซอ ซึง วงปู่จา วงกลองแอว
วงกลองม่าน วงปี่จุม วงเติ่งทิ้ง วงกลองปูจาและวงกลองสะบัดไชย
- ดนตรีพื้นเมืองภาคกลาง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเดียวกับวงดนตรีหลักของไทยคือ
วงปี่พาทย์และเครื่องสาย
ซึ่งลักษณะในการนำมาใช้อำนาจนำมาเป็นบางส่วนหรือบางประเภท เช่น
กลองตะโพนและเครื่องประกอบจังหวะนำมาใช้ในการเล่นเพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว
กลองรำมะนาใช้เล่นเพลงลำตัด กลองยาวใช้เล่นรำเถิดเทิง กลองโทนใช้เล่นรำวงและรำโทน
ส่วนเครื่องเดินทำนองก็นิยมใช้ระนาด ซอหรือปี่ เป็นต้น
- ดนตรีพื้นเมืองภาคอีสาน มีเครื่องดนตรีสำคัญ ได้แก่ พิณ
อาจเรียกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ซุง หมากจับปี่ หมากตับแต่งและหมากต๊ดโต่ง ซอ
โปงลาง แคน โหวด กลองยาวอีสาน กลองกันตรึม ซอกันตรึม ซอด้วง ซอตรัวเอก ปี่อ้อ
ปราเตรียง ปี่สไล เมื่อนำมาประสมวงแล้วจะได้วงดนตรีพื้นเมือง คือ วงโปงลาง วงแคน
วงมโหรีอีสานใต้ วงทุ่มโหม่ง และวงเจรียงเมริน
- ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้มีเครื่องดนตรีที่สำคัญ ได้แก่ กลองโนรา
กลองชาตรีหรือกลองตุ๊ก กลองโพน กลองปืด โทน กลองทับ รำมะนา โหม่ง ฆ้องคู่
ปี่กาหลอ ปี่ไหน กรับพวงภาคใต้ แกระ และนำเครื่องดนตรีสากลเข้ามาผสม ได้แก่
ไวโอลิน กีต้าร์ เบนโจ อัคคอร์เดียน ลูกแซ็ก ส่วนการประสมวงนั้น
เป็นการประสมวงตามประเภทของการแสดงแต่ละชนิด
2.เพลงไทยสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
2.1
เพลงไทยประกอบการแสดงโขน ละคร รำ และระบำมาตราฐาน
เพลงไทยที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
โขน ละคร รำและระบำมาตราฐาน
นั้นแบ่งได้เป็น 2
ประเภทดังนี้
- เพลงหน้าพาทย์ได้แก่
เพลงที่ใช้บรรเลงหรือขับร้องประกอบอากัปกิริยาของตัวโขน ละคร เช่น การเดินทาง
ยกทัพ สู้รบ แปลงกาย และนำเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการรำและระบำ เช่น รัว โคมเวียน
ชำนาญ ตระบองกัน เป็นต้น
- เพลงขับร้องรับส่ง คือเพลงไทยทีนำมาบรรจุไว้ในบทโขน – ละคร
อาจนำมาจากเพลงตับ เถา หรือเพลงเกร็ด
เพื่อบรรเลงขับร้องประกอบการรำบทหรือใช้บทของตัวโขน
ละครหรือเป็นบทขับร้องในเพลงสำหรับการรำแลระบำ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลา
เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพัดชายเขา เพลงเวสสุกรรม เพลงแขกตะเขิ่ง เพลงแขกเจ้าเซ็น
เป็นต้น
2.2
เพลงไทยประกอบการแสดงพื้นเมือง
เพลงไทยที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง
เป็นบทเพลงพื้นบ้านที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง
โดยแบ่งออกตามภูมิภาคดังนี้
- เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ
เพลงประกอบการฟ้อนเล็บได้แก่ เพลงแหย่งหลวง ฟ้อนเทียน
ได้แก่ เพลงลาวเสี่ยงเทียน ฟ้อนสาวไหม ได้แก่ เพลงปราสาทไหวและสาวสมเด็จ ระบำซอ
ได้แก่ ทำนองซอยิ๊และซอจ๊อยเชียงแสน บรเลง เพลงลาวจ้อย ต้อยตลิ่งและลาวกระแซ
เป็นต้น
- เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง
เพลงประกอบการเต้นรำกำเคียว ได้แก่ เพลงระบำชาวนา
เป็นต้น
- เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน
เพลงประกอบการแสดงเซิ้งโปงลาง บรรเลงเพลงลายโปงลาง
เซิ้งภูไทย บรรเลงลายลำภูไทย เป็นต้น
- เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้
เพลงประกอบการแสดงลิเกป่า นิยมใช้เพลงตะลุ่มโปง
เพลงสร้อยสน เพลงดอกดิน การแสดงชุดรองเง็งบรรเลงเพลงลาฆูดูวอ เพลงมะอีนังลามา
เพลงลานัง เพลงปูโจ๊ะปิชัง เป็นต้น
การแต่งกายนาฏศิลป์ไทย
การแสดงนาฏศิลป์ไทย
ทั้งโขนและละครนั้นได้จำแนกผู้แสดงออกเป็น 4
ประเภทตามลักษณะของบทบาทและการฝึกหัดคือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง
ซึ่งในแต่ละตัวละครนั้น
นอกจากบุคลิกลักษณะที่ถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมทราบจากการแสดงแล้ว
เครื่องแต่งการของผู้แสดงก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า
ผู้นั้นรับบทบาทแสดงเป็นตัวใด
เครื่องแต่งการนาฏศิลป์ไทยมีความวดวามและกรรมวิธีการประดิษฐ์ที่วิจิตรบรรจงเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้เพราะที่มาของเครื่องแต่งกายนาฎศิลป์ไทยนั้น
จำลองแบบมาจากเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์(เครื่องต้น)
แล้วนำมาพัฒนาให้เหมาะสมต่อการแสดง ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ฝ่าย ดังนี้
1. เครื่องแต่งตัวพระ
คือ
เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นผู้ชายประกอบด้วยส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายดังนี้
2. เครื่องแต่งตัวนาง คือ
เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นหญิงประกอบด้วยส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายดังนี้
สำหรับเครื่องแต่งตัวพระและนางดังกล่าวนี้
จะใช้แต่งกายสำหรับผู้ระบำมาตราฐาน เช่น ระบำสี่บท ระบำพรหมาสตร์และระบำกฤดาภินิหาร
เป็นต้น และยังใช้แต่งกายสำหรับตัวละครในการแสดงละครนอกและละครในด้วย
ส่วนในระบำเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำนพรัตน์ ระบำตรีลีลา ระบำไตรภาคี ระบำไกรลาสสำเริง
ระบำโบราณคดีชุดต่าง ๆ หรือระบำสัตว์ต่าง ๆ
จะใช้เครื่องแต่งกายตามความเหมาะสมกับการแสดงนั้น ๆ เช่น นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบ
และสวมชุดไทยต่าง ๆ เป็นต้น
ตลอดจนยังมีการแสดงหรือการฟ้อนรำแบบพื้นเมืองของท้องถิ่นต่าง ๆ
ซึ่งจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นด้วย
3.
เครื่องแต่งตัวยักษ์ (ทศกัณฐ์ ) คือ
เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป้นตัวยักษ์ประกอบด้วยส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายดังนี้
4.
เครื่องแต่งตัวลิง (หนุมาน)
คือเเครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป้นตัวลิงประกอบด้วยส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายดังนี้
นาฏศิลป์กับบทบาททางสังคม
นาฏศิลป์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สร้างสรรค์สุนทรียะด้านจิตใจและอารามณ์ให้กับคนในสังคมและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถสะท้อนถาพวิถีชีวิตและกิจกรรมของคนในสังคม
ทั้งที่เป็นกิจกรรมส่วนตัวและกิจกรรมส่วนรวม
ดังพิจารณาได้จากบทบาทของนาฏศิลป์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทางด้านต่าง ๆ
เช่น บทบาทในพิธีกรรมรัฐพิธีและราชพิธี การแสดงนาฏศิลป์ในพิธีกรรมต่าง ๆ
สามารถแสดงถึงความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติของภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
เช่น การฟ้อนรำในพิธีรำผีฟ้า เพื่อรักษาโรค หรือสะเดาะเคราะห์ของภาคอีสาน
การฟ้อนผีมดผีเม็งในภาคเหนือ ที่จะมีผู้หญิงมาเข้าทรง เป็นต้น