ประวัติความเป็นมา ในปี
พ.ศ.2493 นักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ แจน ออร์ด ( Jan Oort )
เป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า ต้องมีแหล่งที่อยู่ของดาวหางจำนวนหลาย ๆ
ล้านดวงอยู่ไกลเลยจากดาวเคราะห์ดวงนอก ของระบบสุริยะออกไป
โดยห่างจากดวงอาทิตย์ราว 30,000 หน่วยดาราศาสตร์ จนถึง 1 ปีแสง
หรือไกลกว่านั้น จึงเรียกถิ่นที่อยู่ของดาวหางตามความคิดนี้ว่า
ดงดาวหางออร์ด(The Oort Cloud)
ลักษณะทั่วไปของดาวหาง
ขณะเมื่ออยู่ไกลจากดวงอาทิตย์
ดาวหางคล้ายก้อนน้ำแข็งสกปรกของหินและฝุ่นเกาะกัน
อยู่ด้วยก๊าซและน้ำที่แข็งตัว
โดยทั่วไปแล้วดาวหางมีขนาดใหญ่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
เมื่อดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระยะวงโคจรของดาวพฤหัสบดี
ดาวหางเริ่มอุ่นขึ้น น้ำแข็งรอบนอกระเหิดกลายเป็นก๊าซและฝุ่น
เกิดกลุ่มเมฆก๊าซ เป็นบรรยากาศห่อหุ้มขนาดใหญ่
มากจนสามารถครอบคลุมโลกทั้งดวงได้ เรียกว่า โคมา หรือ หัวดาวหาง ล้อมรอบ
นิวเคลียส หรือ ใจกลางหัวดาวหาง
ซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งในใจกลางและมีขนาดเล็กเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
ดงดาวหางออร์ด
|
นอกจากลมสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์จะ ทำให้เกิดโคมาขนาดใหญ่แล้วยังทำให้หางดาวหาง พัดกระพือออกไปเป็นลำยาว
ดวงหางบางดวง อาจมีหางยาวเป็นหลายล้านกิโลเมตร
และแม้ว่า ดาวหางจะมีทิศทางเคลื่อนที่ไปอย่างไรก็ตาม
แต่ หางของดาวหางจะหันหนีออกจากดวงอาทิตย์ เสมอ
เราเห็นดาวหางสว่างขึ้นได้เพราะส่วนที่เป็น
อนุภาคของแข็งและฝุ่นสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์
กับทั้งอนุภาคก๊าซที่มีประจุไฟฟ้าในหางดาวหาง ดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์เรืองแสงขึ้น
|
โครงสร้างของดาวหาง
- นิวเคลียส เป็นใจกลางหัวดาวหาง
ประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ จำพวก คาร์บอน ( C )ไฮโดรเจน (H) อ๊อกซิเจน (O ) และ
ไนโตรเจน (N ) รวมตัวกัน โดยมีน้ำ เป็นองค์ประกอบสำคัญ นอกจากนั้น
ยังมีฝุ่นของซิลิกอน แมกนีเซียม และธาตุหนักอื่น ๆ
ฝุ่นเหล่านี้รวมตัวกับน้ำแข็งอัดแน่นอยู่ด้วยกัน
ทำให้เกิดเป็นนิวเคลียสสีดำเหมือนถ่าน
- โคมา
เมื่อดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
รังสีความร้อนทำให้น้ำแข็งบริเวณผิวของนิวเคลียส ระเหิดเป็นไอ
ก๊าซและฝุ่นผงจึงขยายตัวเป็นบรรยากาศห่อหุ้มนิวเคลียสไว้กลายเป็นหัวดาวหาง
เรียกว่า โคมา
- หางฝุ่น
เป็นก๊าซและฝุ่นพัดกระพือออกจากหัวดาวหาง
สะท้อนแสงให้เห็นเป็นหางชนิดสั้นและ มีลักษณะโค้ง
มีความเป็นกลางทางประจุไฟฟ้า แรงดันจากรังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ผลัก
ให้หางลู่ไปในแนวตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ
- หางก๊าซ
ก๊าซในหางดาวหางทำปฏิกิริยากับลมสุริยะจากดวงอาทิตย์
ทำให้ก๊าซต่าง ๆ แตกตัว เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า หรือ ไอออน เช่น
อนุภาคประจุคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO+) เปล่งแสง
สีน้ำเงินในหางก๊าซเคลื่อนที่หนีออกจากดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อวินาที
หางก๊าซ มีลักษณะเหยียดตรง
และยืดยาวออกไปหลายล้านกิโลเมตร
วงโคจรของดาวหาง ดางหางส่วนใหญ่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีสูงและวงโคจรใหญ่มาก
เรามีโอกาสเห็น
ดาวหางได้เฉพาะเมื่อดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาในเขตชั้นในของระบบสุริยะที่โลกอยู่เท่านั้น
ดาวหางบางดวงมีวงโคจร ไม่ใหญ่มากนัก เราจึงเห็นดาวหางโคจรกลับมาอีก
จัดว่าเป็น ดาวหางคาบโคจรสั้น ส่วนดาวหางที่มีคาบโคจร นานกว่า 200 ปี
จัดให้เป็น ดาวหางคาบโคจรยาว
ตัวอย่างดาวหางดวงสำคัญ ดาวหางแฮลลีย์ (Halley)
ดาวหางโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ครบหนึ่งรอบทุกคาบประมาณ 76 ปี
จากบันทึกเก่าแก่พบว่า ชาวโลกมีโอกาสสังเกตดาวหางแฮลลีย์โคจรเข้ามาแล้ว 27
รอบ ครั้งหลังสุด คือเมื่อปี พ.ศ.2529 และดาวหางจะกลับมาอีกครั้งต่อไปในปี
พ.ศ.2604-2605
ดาวหางอิเคยา-เซกิ ถ่ายเมื่อ 29 ตุลาคม
พ.ศ.2508
|
ความสำคัญของดาวหาง
นักดาราศาสตร์เชื่อว่า
ดาวหางเป็นซากวัตถุที่เหลือจากการก่อตัว ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
มีอายุมากกว่า 4,500 ล้านปี เดินทางมาจากห้วงอวกาศแสนไกลและเย็นจัด
ดาวหางจึงน่าจะ ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่มาก
อาจประกอบด้วยอินทรีย์สารที่จำเป็น ต่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
และบางที
ดาวหางอาจเป็นตัวนำน้ำมายัง โลกในยุคแรกเริ่มที่โลกก่อกำเนิดขึ้นก็เป็นได้
|
ค้นข้อมูลเพิ่มเติม
: http://www.seds.org/nineplanets/nineplanets/nineplanets.html http://solarviews.com/eng/homepage.htm http://www.planetscapes.com/solar/eng/history.htm http://nssdc.gsfc.nasa.gov/planetary/chronology.html
|