ลักษณะทางด้านการเมืองการปกครอง
ลักษณะทางด้านการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน
จัดได้ว่าเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหาษัตริย์เป็นประมุข
มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
พระมหากษัตริย์ในปัจจุบันก็อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional
monarchy) ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนสมัยก่อน
ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญรัฐบาลมาจากพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง
โดยพรรคการเมืองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับการเลือกตั้งมากทึ่สุดเป็นผู้รับผิดชอบจัดตั้งรัฐบาลซึ่งอาจเป็นรัฐบาลพรรคเดียวหรือหลายพรรคผสมกันก็ได้
แต่ก็น่าสังเกตว่า
ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ
เมื่อปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
ยังไม่มีรัฐบาลชุดใดที่มาจากพรรคการเมืองที่ได้เสียงส่วนมากพรรคเดียวเลยถ้าไม่เป็นรัฐบาลผสม
ก็เป็นรัฐบาลเผด็จการทหาร (military dictatrship)
ที่เข้ามายึดอำนาจการปกครองเป็นครั้งคราว
รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ
มักจะอยู่ได้ไม่นาน
โดยจะถูกฝ่ายทหารซึ่งมีอำนาจทางการเมืองมากเข้ามายึดอำนาจจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการอยู่บ่อย
ๆ รัฐบาลพลเรือนเพิ่งจะมีโอกาสได้บริหารประเทศค่อนข้างมาก
เมื่อไม่นานมานี่เอง (ประมาณ 10 กว่าปี ถ้านับจากสมัยรัฐบาลเปรย 1)
แม้กระนั้นการเสี่ยงภัยจากรัฐประหารก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียวในปัจจุบันนี้
ที่เป็นเช่นนี้น่าจะสืบเนื่องมาจากเหตุที่ว่า
วัฒนธรรมการเมืองไทยเป็นไปในรูปแบบของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จหรือเผด็จการมายาวนานกว่า
600 ปี โดยไม่มีการขาดตอน
ภาพอนุสาวรีประชาธิปไตย ที่กรุงเทพฯ
นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระเจ้าแผ่นดินเป็นศูนย์รวมของอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในราชอาณาจักร
พระองค์ทรงเปก็นทั้งเจ้าชีวิตและเจ้าแผ่นดินทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างใราชอาณาจักร
ประกาศิตของพระองค์คือ กฎหมายขุนนางหรือข้าราชการ คือ ผู้รับใช้ของพระองค์
(King's servants)
แม้ว่าในทางพฤติกรรมการใช้อำนาจของพระเจ้าแผ่นดินจะแตกต่างกันออกไปบ้างตามพระราชอัธยาศัยของแต่ละพระองค์
แต่ก็ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่า พระเจ้าแผ่นดิน คือ
อำนาจสูงสุดของแผ่นดินเรื่อยมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.
2475
คณะราษฎร์ที่เข้ายึดอำนาจการปกครองจากในหลวงรัชกาลที่ 7
ประกอบด้วย ข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน และราษฎร
ซึ่งส่วนมากก็เป็นนักเรียนนอกที่ถูกทางราชการส่งไปเรียนต่อในต่างประเทศโดยทุนหลวง
พวกนักเรียนนอกเหล่านี้ได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศประชาธิปไตยในประเทศที่ตนไปเรียนอยู่ในยุโรปสมัยนั้น
ซึ่งส่วนมากก็เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยไปหมดแล้ว
เชื้อแห่งการปฏิวัติเพื่อล้มล้างระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชเพื่อเปลี่ยนเป็นการปกครองบบประชาธิปไตยตามแบบอย่างของ
"นานาอารยะประเทศ"
ได้เริ่มก่อตัวขึ้นจากการประชุมพลปะกันระหว่างนักเรียนทุนผู้มีหัวก้าวหน้าทั้งหลายที่กรุงปารี
ประเทศฝรั่งเศส
และในที่สุดก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จภายใต้นามของ
"คณะราษฎร์หลังจากการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
ได้มีความพยายามต่อต้านจากกลุ่มทหารที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ระบบเดิมอยู่บ้างเล็กน้อย
(กบฎบวรเดชฯ) แต่ก็ถูกปราบปรามลงได้ไม่นาน
การเริ่มต้นของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นเท่าใดนัก
ทั้งนี้เป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่ว่าข้าราชการ หรือราษฎรก็ตาม
ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการปกครองแบบประชาะปไตยจึงพากันตีความหมายของคำว่าประชาธิปไตยไปต่าง
ๆ นานา คำว่า เสรีภาพและเสมอภาคก็ก่อให้เกิดความสับสน
คนทุกคนมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต ก็นำไปสู่ความไม่ยอมปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ
เพราะมีเสรีภาพแล้วจะทำหรือไม่ทำก็ได้
ลูกศิษย์วัดไม่ยอมปรนนิบัติพระเพราะมีเสรีภาพ
นักเรียนไม่ไปโรงเรียนเพราะมีเสรีภาพ ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่เพราะมีเสรีภาพ
ความเสมอภาคคือทุกคนเท่าเทียมกัน ฉะนั้นใครจะมาบังคับให้ใครทำอะไรไม่ได้
ทุกคนเท่ากันหมด ฯลฯ ความยุ่งยากสับสนเกิดขึ้นทั่วไป
เพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นไปอย่างกระทันหันไม่ได้มีการปูพื้นฐานมาก่อนราษฎรส่วนใหญ่นอกจากจะไม่คุ้นเคยกับการมีเสรีภาพในทางการเมืองแล้ว
ยังมีการศึกษาต่ำอีกด้วยเมื่อเผชิญกับสภาพการณ์ยุ่งยากที่คาดไม่ถึงเช่นนี้
ไม่ช้าไม่นานคณะราษฎร์ก็เกิดแตกแยกกันเองและนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการทหารในตอนต่อมา
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือนในกลุ่มผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง
และความสับสนในหมู่ราษฎร
ได้ทำผู้นำฝ่ายทหารสามารถขึ้นมาครองอำนาจทางการเมืองได้
เนื่องจากมีกำลังกองทัพหนุนหลัง เริ่มจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นต้นมา
จนถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์และจอมพลถนอม กิติขจร
ซึ่งถือได้ว่าเป็นทายาททางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์
รวมเวลาที่รัฐบาลเผด็จการทหารปกครองประเทศนับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
นานถึง 50 ปี โดยมีรัฐบาลพลเรือนเข้ามาสลับฉากบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน (ระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี เป็นส่วนมาก)
กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศก็มีการยกเลิก
แก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตามสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่า 10 ครั้ง
จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เสร็จสิ้นคือ
ยังมีการแก้ไขอยู่ในรัฐสภา เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพอสรุปได้ว่า
ศูนย์อำนาจทางการเมืองหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ไม่ได้ตกอยู่แก่ราษฎรตามคติของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
แต่ตกอยู่กับบุคคลที่ถืออาวุธ คือ คณะทหารของชาติ ซึ่งทำโดยทหารบกเป็นสำคัญ
การปกครองในระยะนี้จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่มีลักษณะเป็นเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการมากกว่า
โดยราษฎรทั่วไปยังถูกจำกัดสิทธิพื้นฐานเบื้องต้นหลายประการ
โดยเฉพาะสิทธิในทางการเมือง
ภาพเเผนที่ประเทศไทย
|