ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

370.28 รวมบทความทางการศึกษา

คิดดูให้ดีก่อนที่จะแยกงานวัฒนธรรมไปจากการศึกษา.
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์

ประเทศไทยเคยมีกระทรวงวัฒนธรรมควบคู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ที่รู้จักกันดีก็คือสมัยที่ จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี และมีท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต่อมาภายหลังก็ถูกยุบรวมมาอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาเป็นเวลายาวนานจนถึงปัจจุบัน

งานวัฒนธรรมนั้นจริง ๆ แล้ว หมายรวมถึงงานหลักที่สำคัญสามด้านด้วยกัน คือ ด้านศาสนา ด้านศิลป และด้านวัฒนธรรม งานสามด้านนี้มีหน่วยงานระดับกรมดูแลรับผิดชอบสามหน่วยงานด้วยกัน คือกรมการศาสนา กรมศิลปากร และสำนักงาน

คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ชื่อของทั้งสามหน่วยงานก็บ่งบอกความรับผิดชอบไว้ชัดเจนอยู่แล้ว

ด้านศาสนานั้น ส่วนใหญ่เป็นงานส่งเสริมทำนุบำรุงด้านพระพุทธศาสนาและสนองงานของกิจการคณะสงฆ์ อันได้แก่การเป็นสำนักงานเลขาธิการของมหาเถร-สมาคม การดูแลศาสนสมบัติ เป็นต้น งานที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นที่เป็นหลักคือการรับรองศาสนาต่าง ๆ ที่คนไทยนับถือ และงานทำนุบำรุงศาสนาอื่นโดยทั่วไป กรมการศาสนารับนโยบายหลักโดยเฉพาะด้านพุทธศาสนาจากมหาเถรสมาคมโดยตรงมากกว่าจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ด้านศิลป คืองานรักษา สืบสาน สืบทอด ศิลปของไทยทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นศิลปกรรม นาฏกรรม ดุริยางคศิลป์ มัณฑนศิลป์ โบราณสถาน โบราณวัตถุต่าง ๆ และยังมีงานด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์และวรรณคดีของไทย กรมศิลปากรทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยกำหนดนโยบายและแผนด้านศิลป และยังเป็นหน่วยปฏิบัติการด้วย

ส่วนด้านวัฒนธรรมนั้นส่วนใหญ่เป็นการกำหนดแผนทางวัฒนธรรมส่งเสริม

สนับสนุนให้บุคคล หน่วยงานและองค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ สืบสาน สืบทอด และพัฒนาวัฒนธรรมของไทย ที่ปฏิบัติเองก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เน้นเพื่อเป็นตัวอย่าง และให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่เป็นวิถีชีวิตความเป็นไทย

ทั้งศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ ที่จริงทั้งหมดก็คือวัฒนธรรมในความหมายที่กว้างนั่นเอง โบราณ-สถาน โบราณวัตถุ หรือแม้แต่งานประณีตศิลปที่ล้ำค่าของไทยจำนวนมากอยู่ในวัด ในพิพิธภัณฑ์ โบราณวัตถุสำคัญส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา และวัฒนธรรม ในวิถีชีวิตส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับวัดและศาสนสถานต่าง ๆ ศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม จึงเกือบเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ที่แยกกันปฏิบัติก็เพื่อให้กว้างขวาง ครอบคลุม และลึกซึ้งเพียงพอ แม้จะมีหน่วยงานระดับกรมถึงสามหน่วยงาน การปฏิบัติก็มักจะซ้ำซ้อนเกี่ยวข้องกันตลอดเวลาเป็นปกติธรรมชาติ

ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นความเด่น ความเป็นเอกลักษณ์ของงานด้านศาสนา ศิลป วัฒนธรรม หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเกี่ยวข้องกับงานการศึกษาอย่างไร จึงมารวมอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ

การศึกษา คือกระบวนการพัฒนาคน เป็นกระบวนการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง เป้าหมายปลายทางก็คือให้มีความรู้ดี มีความประพฤติดี สามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น มักกล่าวกันสั้น ๆ ว่า “เพื่อให้คนมีความรู้คู่คุณ-ธรรม” คุณธรรมก็คือความดีงามนั่นเอง ความดีงามก็คือวัฒนธรรมตามวิถีชีวิตที่สืบทอด กันมาจากบรรพบุรุษและสัมพันธ์หรือเป็นอันเดียวกันกับหลักศาสนาที่คนไทยยึดถือ จึงกล่าวได้ว่า “การศึกษาก็คือกระบวนการสืบทอดทางวัฒนธรรมนั่นเอง” วัฒนธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

งานสำคัญของการศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม คือการสืบสาน สืบทอด ให้คนรุ่นหลังได้มีศรัทธา เลื่อมใส ยึดถือและปฏิบัติ จนเป็นความเคยชิน เป็นวิถีชิวิตของเขา เพราะศาสนา ศิลป และวัฒนธรรมของไทยคือสัญลักษณ์ เอกลักษณ์ ความเป็นไทย ความเป็นไทยไม่ได้ปรากฏชัดเจนที่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่ยังปรากฏในภาษาพูด เขียน กริยามารยาท วิธีปฏิบัติตนต่าง ๆ ศิลป ดนตรี การร้องรำทำเพลง ฯลฯ ถ้าเราพบเห็นคนปฏิบัติตน เราสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นไทยหรือไม่ การสืบสาน สืบทอด ศิลป วัฒนธรรม ก็คือการรักษาความเป็นชาติไทย และการสืบสาน สืบทอดที่ดีที่สุดก็คือ การกระทำผ่านกระบวนการศึกษา

การที่บรรพบุรุษไทย รวมงานศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมไว้ในกระทรวงศึกษาธิการ จึงเป็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษไทย เพื่อให้การศึกษาเป็นกระบวนการสืบทอดทางวัฒนธรรม และทำให้การสืบสานวัฒนธรรมสามารถทำผ่านกระบวนการศึกษาได้อย่างสะดวกคล่องตัว เมื่อคราวที่มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ทุกคนก็ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ และเพื่อให้งานวัฒนธรรมมีความเด่นชัดมากขึ้น จึงมีความคิดตั้งหน่วยงานระดับทบวงเรียกว่า สำนักงานคณะกรรมการการศาสนา ศิลป และวัฒนธรรมขึ้น บังเอิญงานตามพระราชบัญญัติส่วนใหญ่เป็นงานการศึกษา หลักการสำคัญที่คิดจึงเน้นเพื่อการศึกษา เช่น หลักการกระจายอำนาจ การให้หน่วยงานกลางเป็นหน่วยนโยบายและแผน หน่วยงานย่อยในพื้นที่เป็นหน่วยปฏิบัติ เป็นต้น ไม่มีใครได้เฉลียวใจว่างานศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม แม้จะสัมพันธ์กัน แต่ก็แตกต่างกันในวิธีปฏิบัติ

การรักษามรดกทางศิลป วัฒนธรรมของชาตินั้น หลาย ๆ เรื่องส่วนกลางต้องปฏิบัติ ไม่สามารถกระจายอำนาจได้ เช่น การดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุสำคัญของชาติ งานสนองงานคณะสงฆ์ก็เป็นงานปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีพระราชบัญญัติออกมา จึงเกิดปัญหาว่าจะปฏิบัติได้อย่างไร ยิ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการโดยกำหนดให้มีผู้แทนกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นผู้แทน ขณะที่งานร้อยละเก้าสิบห้า เป็นงานพุทธศาสนา จึงทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องศาสนาขึ้น นำมาสู่การขอแยกและตั้งสำนักงานพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่

ที่จริงปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ไขได้ไม่ยากนัก หากยอมรับว่างานทางด้านศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม ต้องทำทั้งในรูปแบบของการส่งเสริม สนับสนุน ในรูปของการกำหนดนโยบายและแผน แล้วยังต้องปฏิบัติด้วยเพราะเป็นงานสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ก็กำหนดให้เขาปฏิบัติได้เสีย โดยไม่เอาหลักการที่ใช้กับด้านการศึกษามาบังคับใช้กับศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมด้วย เรื่องก็คงจะยุติด้วยดี เมื่อหลักการไม่เปลี่ยนแปลง จึงเกิดความคิดแยกงานด้านศาสนา ศิลป วัฒนธรรม เป็นกระทรวงใหม่ และความคิดนี้ก็ไปไกลจนจะรั้งไม่อยู่แล้ว มีการเสนอตัดงานศาสนา ศิลป วัฒนธรรม ออกจากกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จนถึงขั้นออกพระราชบัญญัติ และกำลังอยู่ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ถ้าทุกอย่างสำเร็จ ต่อไปกระทรวงการศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม จะเหลืองานการศึกษาเพียงอย่างเดียว

ถ้าเป็นเช่นนี้ อนาคตที่มองเห็นก็คือ งานสืบสาน เผยแพร่ ศิลป วัฒนธรรมที่เคยทำผ่านกระบวนการศึกษาก็จะไม่คล่องตัวเหมือนก่อน และถ้าไม่ทำผ่านกระบวนการศึกษาหรือรูปแบบการศึกษาในสถานศึกษาแล้ว จะทำได้กว้างขวางได้อย่างไร ในเวลาเดียวกันความคิดเรื่องการศึกษาที่เป็นกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมก็จะถูกลดความสำคัญลง ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือสัญลักษณ์ เอกลักษณ์ วิถีชีวิต ความเป็นไทยจะจางลง บทบาทวัฒน-ธรรมต่างแดนจะเด่นขึ้น หลายคนที่ชอบความเป็นสากลอาจบอกว่าดีแล้ว ไทยจะเป็นสากลมากขึ้น ความเป็นสากลนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องรักษาความเป็นไทยไว้ให้ได้ด้วย

วิธีแก้ปัญหาที่ดีในเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก แต่ไม่เคยมีใครคิดถึง เพื่อให้งานการศึกษาและงานศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม ได้ส่งเสริมเกื้อกูลกันเหมือนเช่นเคย และเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ก็เลิกการกำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมเสีย แล้วให้คงหน่วยงานเดิมไว้ คือมีกรมการศาสนา กรมศิลปากร และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เท่านี้ ข้อขัดข้องต่าง ๆ ก็จะหมดไป ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น

จึงอยากจะขอให้พิจารณาทบทวนดู ให้ดีกันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นอย่างอื่น

แหล่งที่มา

พนม พงษ์ไพบูลย์. (2553). คิดดูให้ดีก่อนที่จะแยกงานวัฒนธรรมไปจากการศึกษา.

ค้นเมื่อ พฤศจิกายน 23, 2553, จาก
http://www.moe.go.th/main2/article/article_panom/think_culture.htm

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC. Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are registered trademarks of OCLC
Revised:March 2009


Send comments to Chumpot@hotmail.com