|
370.28 รวมบทความทางการศึกษา
บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่แปด การศึกษาภาคบังคับเก้าปี.
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์
ถ้าถามว่างานในหน้าที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีเรื่องหนักใจบ้างหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่ามี
ถ้าตอบว่าไม่มีก็เหมือนโกหก หรือมิฉะนั้นก็แสดงว่าไม่ค่อยได้ทำงานอะไรมากมายนัก ถามว่า
หนักใจเรื่องอะไร คงต้องตอบว่าเรื่องงาน งานที่หนักใจคือเรื่องการศึกษาพื้นฐานที่ ต้องจัดให้
บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้
อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และเรื่องการศึกษาภาคบังคับที่กำหนดไว้ใน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติว่า ให้มีการศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมี
อายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้
ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
ทั้งสองเรื่องนี้ต้องดำเนินการให้ได้ภายในห้าปี นับจาก
วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยใช้บังคับรัฐธรรมนูญฯ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม
2540 ดังนั้น วันที่ครบห้าปี ขึ้นปีที่หก เป็นวันแรก คือ 12 ตุลาคม 2545 แปลว่าจะต้องจัด
การศึกษาขั้นพื้นฐานสิบสองปีให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายให้ได้ในเดือนตุลาคม
2545 และต้องจัดการศึกษาภาคบังคับเก้าปีให้ได้ในปี 2545 เช่นเดียวกัน ตุลาคม 2545
ถ้านับจากวันนี้ไป (มิถุนายน 2543) เป็นเวลาเพียงสองปีกับอีกสาม-สี่ เดือนเท่านั้นเองจะทำได้
ทันหรือไม่ เอาเพียงเรื่องปริมาณอย่างเดียวก็เป็นที่หนักใจของทุกฝ่าย และถ้าให้ มีคุณภาพ
ด้วย ก็ยิ่งหนักเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว และถ้ารวมเอาเรื่องการปฏิรูปการศึกษาด้านอื่นด้วย เช่น
ปฏิรูปการเรียนรู้ ความยากลำบากคงเพิ่มเป็นอีกหลายเท่าทีเดียว
ในตอนแรกนี้จะขอกล่าวเรื่องการศึกษาภาคบังคับเก้าปี ในปี 2545 ก่อน จะทำได้หรือไม่
อย่างไร คำว่าการศึกษาภาคบังคับเก้าปี หมายถึงการจัดการศึกษาให้ทุกคนได้เรียนตั้งแต่ระดับ
ประถมศึกษาหกปี รวมกับมัธยมศึกษาตอนต้นสามปี รวมกันเป็นเก้าปี ในสภาพปัจจุบันได้มีการ
ส่งเสริมให้คนได้เรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นกันอยู่แล้วอย่างกว้างขวาง ผู้จบประถมศึกษา
ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เรียนต่อมัธยมศึกษา แปลว่ามีไม่เกินร้อยละ 10 ไม่ได้เรียนต่อ แต่ตาม
สถิติพบว่าผู้ที่เรียนต่อนั้นมีจำนวนหนึ่งไม่น้อยเลยออกกลางคัน โดยเฉพาะโรงเรียนขยายโอกาส
ประมาณว่าที่เรียนต่อร้อยคน เรียนได้จบมัธยมศึกษาปีที่สาม ประมาณ 90 คน ผู้ที่ไม่ได้เรียนต่อ
และผู้ที่ออกกลางคันคือกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องให้คงอยู่ให้ได้ ถ้าจะจัดการการศึกษาภาคบังคับ
ให้ได้เก้าปี
ปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ในระดับประถมศึกษาเองพบว่าประชากรวัยเรียนร้อยคน เรียนจน
ถึงชั้นประถมปีที่หก และจบออกมาเพียงร้อยละ 90 ที่ตกหล่นหายไประหว่างทางถึงร้อยละ 10
เอาเป็นว่าปัจจุบันประชากรวัยที่ควรจะเรียนเก้าปี ขณะนี้ได้เรียนประมาณร้อยละ 80 ไม่มากกว่านี้
ปัญหาที่จะต้องพยายามให้ทุกคนได้เรียนได้ครบถ้วน คือปัญหาของประชากรร้อยละ 20 ที่กล่าวถึง
นี่เอง
ที่จริงก็มีการส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนได้เรียนถึงชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นกันอย่างทั่วถึง และ
ไม่เก็บค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่เด็กอีกราวร้อยละ 20 ก็ยังไม่ได้เรียนหากจะจัดการศึกษาภาคบังคับ
เก้าปีให้ได้ ก็จะต้องหาทางช่วยเหลือกลุ่มนี้ให้กลับมาเรียนให้ได้ เขามีปัญหาอะไรกันจึงไม่ได้
เรียน ปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกันกับเรื่องใหม่ ๆ เพียง 2-3 เรื่องเท่านั้น ที่คิดว่าเป็นต้นตอสาเหตุ
ของปัญหา นอกนั้นเป็นส่วนประกอบ ปัญหาสำคัญ ๆ คือ
1. ปัญหาความยากจน เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ความยากจนไปเกี่ยวพันกับความด้อยการศึกษา
ของพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย พื้นฐานสำคัญของกลุ่มนี้คือผู้ปกครอง ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของ
การศึกษา จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการศึกษา มีผู้ปกครองจำนวนมากก็ให้บุตรหลานได้เรียน
แต่ถ้ามีความจำเป็นอื่นก็อาจให้หยุดเรียน เด็กได้เรียนไม่เต็มที่ ในที่สุดก็หลุดหายไปจากระบบ
เลยที่เรียกว่าออกกลางคัน บางคนอพยพโยกย้ายไปตามผู้ปกครองที่ย้ายที่ทำกิน แล้วก็ไม่เข้า
เรียนอีก บางคนก็ยากจนจริง ๆ จนไม่สามารถให้เรียนต่อได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการไป
โรงเรียนอีกมาก เช่น ปากกา ค่าสมุด ดินสอ เครื่องแต่งกาย อาหารกลางวัน บางคนโตหน่อย
พอรับจ้างทำงานได้ พ่อแม่ก็ถือโอกาสให้ออกไปทำงานเสียเลย การแก้ปัญหากลุ่มนี้จึงต้อง
ช่วยเหลือให้เด็กได้มีสิ่ง ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า บางคนอาจรวมถึงการจัดที่พัก
อาศัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยถ้าต้องช่วยเป็นจำนวนมาก
2. ปัญหาคนพิการ มีอยู่ไม่น้อย ราว ๆ ร้อยละ 1-2 ที่มีความบกพร่องทางร่างกายอย่างใด
อย่างหนึ่ง เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไปเรียน เป็นอุปสรรคต่อการเรียน บางทีผู้ปกครอง
ไม่เข้าใจ คิดว่าการศึกษาเขามีไว้สำหรับคนปกติ คนพิการไม่ต้องเรียน ก็เลยไม่ให้เรียน
เสียเลย ถึงจะเรียนก็เรียนไม่ได้ เพราะโรงเรียนไม่รับหรือครูสอนไม่เป็น จะไปเข้าเรียน
การศึกษาพิเศษก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนอย่างไร เด็กก็เลยไม่ได้เรียน การจะจัดการศึกษาภาคบังคับ
ให้ครบถ้วน ต้องเพิ่มบริการการศึกษาพิเศษเพื่อคนพิการให้ทั่วถึงครบถ้วนด้วย
3. เด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ขาดสถานศึกษา เด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่ขาดโอกาส
ทางการศึกษาโดยสิ้นเชิง บางครั้งอาจนึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเรามีโรงเรียนประถม
ศึกษาถึงสามหมื่นกว่าโรง กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศแต่ก็ยังมีบางพื้นที่ขาดโรงเรียน
เป็นพื้นที่ที่มีประชากรน้อย ตั้งโรงเรียนยาก ตั้งแล้วก็หาครู ไปอยู่ยาก กลุ่มนี้เมื่อรวมกัน
มาก ๆ ก็มีจำนวนไม่น้อย มีความพยายามแก้ปัญหาโดยให้ไปเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์
ก็จัดได้ไม่เพียงพอหลายคนก็ไม่อยากไป คือไม่อยากจากบ้านไปอยู่กับคนอื่น
4. เด็กที่เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนขาดหลักฐาน บางคนก็ไร้สัญชาติ ไม่มี
สัญชาติไทย กลุ่มนี้มีทั้งในเมืองและในชนบท เพราะเร่ร่อนไม่มี หลักฐานหลักแหล่ง จึงเป็น
การยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน และยากที่จะนำเข้ามาสู่ระบบการศึกษา แต่ก็ได้มีความ
พยายามกันมาโดยตลอด จนแม้แต่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยก็ให้เข้าเรียนที่จริงรัฐธรรมนูญ
กำหนดว่าให้ทุกคนได้เรียนนั้นหมายถึงคนไทยไม่ใช่คนสัญชาติอื่น ปัญหาเรื่องนี้จึงไม่ใหญ่
โตนัก แต่ถ้าพิจารณาความสำคัญด้านอื่นการให้เรียนก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
โดยส่วนรวม
ที่กล่าวมาทั้งสี่ข้อเป็นปัญหาดั้งเดิม มีอยู่แล้วตั้งแต่จัดการศึกษาภาคบังคับหกปี ยังทำได้
ไม่ทั่วถึง เป็นปัญหาพื้นฐานที่จะต้องแก้กันไปอีกนาน พอขยายการศึกษาภาคบังคับเป็นเก้าปี
ก็จะมีปัญหาใหม่ให้แก้เพิ่มขึ้นอีก และส่วนนี้แหละที่เป็นเรื่องน่าหนักใจ ในส่วนของเก้าปี
ปัญหาที่สำคัญคือ
ในเมื่อเด็กจำนวนหนึ่งเรียนไม่จบประถมศึกษา ซึ่งมีถึงร้อยละ 10 ถึงแม้จะให้ผู้จบ
ประถมศึกษาทุกคนได้เรียนต่อหมด ก็คงยังไม่สามารถทำให้ทุกคนได้รับการศึกษาภาคบังคับ
เก้าปี จนกว่าจะแก้ปัญหาระดับประถมศึกษาให้ได้เสียก่อน
มีความสับสนระหว่างระดับการศึกษา กับการศึกษาภาคบังคับการศึกษาเก้าปี ประกอบด้วย
ประถมศึกษากับมัธยมศึกษาตอนต้น บางคนคิดว่าถ้าเป็นการศึกษาเก้าปีก็เป็นประถมปีที่หนึ่ง
ถึงประถมปีที่เก้า และต้องจัดอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นเลย ที่จริงหากจัดอยู่ใน
โรงเรียนเดียวกันก็ดี เด็กไม่ต้องออกจากโรงเรียนมาวิ่งหาที่เรียนใหม่อีก เมื่อจบประถม
ศึกษา แต่ระบบโรงเรียนที่มีอยู่เป็นระบบโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา แม้จะมี
การเปิดโรงเรียนขยายโอกาส คือเปิด ชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา แต่ก็ไม่ทั่วถึง
ไม่เพียงพอ ไม่เป็นที่นิยม จึงมีการหาที่เรียนหลังจากจบประถมศึกษา หากจะจัดการศึกษา
ภาคบังคับเก้าปีให้ได้ทั่วถึง ต้องมีระบบประกันโอกาสผู้จบประถมศึกษาให้ได้เรียนมัธยมศึกษา
ซึ่งก็เป็นเรื่อง ทำได้ยาก เพราะปัญหาที่จะกล่าวถึงในข้อต่อไป
ยังมีค่านิยมเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนเหล่านี้ผู้บริหารก็ยังมีพฤติกรรม
ปกป้อง ไม่เปิดโอกาสให้เด็กทั่วไปได้เข้าเรียน ต้องการเลือกคนเก่ง ๆ โดยมีระบบสอบแข่งขัน
คัดเลือก เคยถามเสมอว่าถ้าเด็กสอบไม่ได้จะให้เรียนที่ไหน ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน
การจัดการศึกษาภาคบังคับเก้าปีจะเกิดไม่ได้ถ้ายังมีค่านิยมและการปฏิบัติเช่นนี้อยู่ ถ้าจะเป็น
ไปได้จะต้องกำหนดได้ว่าเด็กที่เรียน ชั้นประถมศึกษาอยู่ เมื่อจบแล้วจะให้ไปเรียนต่อที่ใด
จึงจะสะดวกที่สุด และมีการส่งต่อนักเรียนระหว่างโรงเรียนประถมศึกษากับมัธยมศึกษา มิใช่
ให้มีการสอบคัดเลือกใหม่
โรงเรียนมัธยมศึกษาและโรงเรียนขยายโอกาสยังมีไม่ทั่วถึง ทำให้เด็กที่อยู่ห่างไกล และ
พื้นที่ที่ทุรกันดาร ขาดโอกาสทางการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแต่การเปิดโรงเรียนรูปแบบ
ขยายโอกาสที่ทำกันอยู่ก็มีความซ้ำซ้อนกับโรงเรียนมัธยมศึกษา คือบริการในพื้นที่ใกล้กัน
ขาดการประสานงาน และความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนประถมศึกษากับโรงเรียนมัธยม
ศึกษาที่ต่างสังกัดกัน จึงทำให้ขาดความทั่วถึง จำเป็นต้องเปิดโรงเรียนขยายโอกาสเพิ่มขึ้น
แปลว่าให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเปิดสอนได้ทั้งชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในโรงเรียน
เดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังรอบคอบ มิฉะนั้นจะกลายเป็นปัญหาว่าเปิด
เท่าไร ผู้ที่ควรได้รับโอกาสก็ยังไม่ได้รับโอกาสสักที
กลุ่มเด็กที่จะต้องช่วยเหลือให้ได้รับการศึกษาเก้าปีอย่างทั่วถึงอย่างจริงจังที่สำคัญยิ่งอีก
กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มผู้ยากไร้ อยู่ห่างไกลที่จะต้องเอาใจใส่เพื่อสร้างความเป็นธรรม สร้างโอกาส
ให้เป็นพิเศษ การช่วยอย่างเสมอภาคกัน คือ ช่วยทุกคน ทุกกลุ่ม เท่า ๆ กันจะทำให้กลุ่มเด็ก
ผู้ยากไร้และเด็กผู้เสียเปรียบขาดโอกาสมากขึ้น ต้องช่วยเป็นพิเศษจริง ๆ ต้องลงทุนเพื่อการ
ศึกษาของคนกลุ่มนี้ การทำเช่นนี้ต้องใช้ทรัพยากรและลงทุนไม่น้อย แต่คงไม่มากเกินไป
ทั้งหมดต้องอาศัยความจริงใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริงจึงจะสำเร็จ
กล่าวมาถึงตรงนี้อาจรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นเรื่องน่าหนักใจแต่ประการใด แต่ที่ผ่านมาหลายเรื่อง
ได้พยายามทำกันมามากแล้วแต่ไม่สำเร็จ หลายคนเป็นห่วงว่าเป็นเรื่องหนักใจไม่น้อยที่ต้อง
ช่วยให้ทุกคนได้รับการศึกษาเก้าปีอย่างทั่วถึง เพราะงบประมาณจะไม่เพียงพอ ดูแล้วไม่ใช่
เรื่องที่น่าเป็นห่วงเลย ปัญหาหลักจะอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรให้กลุ่มผู้เสียเปรียบและด้อยโอกาส
ได้เรียนมากกว่า บางคนเป็นห่วงเรื่อง รัฐธรรมนูญกำหนดว่ารัฐจะต้องจัดการศึกษา โดยไม่เก็บ
ค่าใช้จ่ายเกรงว่าโรงเรียนจะไม่มีเงินเพียงพอ มาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาก็เป็น
เรื่องจริง แต่ปัญหานี้จะเกิดขึ้นในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมากกว่ามัธยมศึกษาตอนต้น
คือไม่ใช่การศึกษา ภาคบังคับแต่ยังเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานเหมือนกัน
สิ่งที่เป็นห่วงสุดท้ายคือ เมื่อทำให้เขามาเรียนอยู่ถึงเก้าปีแล้ว ทำอย่างไรเขาจึงจะได้อะไร
ที่เป็นประโยชน์ติดตัวไปสมดังเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา คือที่เรียกว่าการศึกษา
เป็นของปวงชนและทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องมีส่วนเพื่อการศึกษาที่ได้คุณภาพ เรื่องนี้จะเป็น
ปัญหาใหญ่มากที่ทุกคนต้องช่วยกันร่วมมือกันแก้ไข รวมทั้งเสนอแนะหาทางออกที่เหมาะสม
ต่อไป
แหล่งที่มา
พนม พงษ์ไพบูลย์. (2553). บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่แปด
การศึกษาภาคบังคับเก้าปี
ค้นเมื่อ พฤศจิกายน 23, 2553, จาก
http://www.moe.go.th/web-panom/article-panom/book-panom08.htm
|
|