ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

370.28 รวมบทความทางการศึกษา

บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่สิบเอ็ด ข้อโต้แย้งเรื่องเขตพื้นที่การศึกษา
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์

จากการติดตามความเคลื่อนไหวของคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่จัด โครงสร้างระบบบริหารการศึกษาใหม่ ของกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเพื่อเสนอต่อรัฐบาล เรื่องหนึ่งที่คนในกระทรวงศึกษาธิการสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิดคือเรื่อง “เขตพื้นที่การศึกษา” คงเป็น ที่ทราบกันแล้วว่าตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 กำหนดให้มีสำนักงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อให้รองรับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา และกำหนดให้เขตพื้นที่การศึกษากำกับ ดูแลสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญา และรวมทั้ง การกำกับดูแลหน่วยงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในเขตพื้นที่การศึกษาด้วย ไม่ใช่เฉพาะการกำกับ ดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น คณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษาเสนอให้แบ่งพื้นที่ ประเทศไทยเป็น 289 เขต กับพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกหนึ่งเขต รวมเป็น 290 เขต และให้เขตพื้นที่ การศึกษาเป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทำให้เกิด ข้อโต้แย้งและมี ความเห็นที่ต่างกันอยู่ขณะนี้สองประการคือ

1. คนในกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าการแบ่งพื้นที่เป็น 290 เขต มากเกินไป อาจก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกหลายประการ หากต้องการแบ่งเป็น 290 เขตจริง ๆ ควรค่อย ๆ แบ่ง โดยใช้เวลา 5-10 ปี แทนที่ จะแบ่งทันทีทันใด ประเด็นนี้คณะกรรมการการปฏิรูปการศึกษายืนยันว่าการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาให้แบ่ง เป็น 290 เขตทันที

2. คนในกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า เขตพื้นที่การศึกษาคือหน่วยงาน ของกระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในระดับพื้นที่ หน่วยงานนี้กำกับดูแลงานการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมทั้งหมด ยกเว้นการศึกษาระดับปริญญา ดังนั้นหน่วยงานนี้จึงควรอยู่ในกำกับดูแลของสำนักงานปลัดกระทรวงฯ แต่ คณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษายืนยันให้อยู่ใต้กำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการศึกษา ขั้นพื้นฐาน

อยากขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงเหตุผลของคนกระทรวงศึกษาธิการที่มองเห็นต่างจากคณะกรรมการบริหาร สำนักงานปฏิรูปการศึกษาในสองเรื่องดังกล่าว คือ

จากการศึกษาวิจัยของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าวิธีแบ่งเขตย่อยจำนวนมาก ทำให้เกิดเขตที่มีลักษณะ แตกต่างกันสามประเภท ประเภทที่หนึ่ง เป็นเขตที่ตั้งของชุมชนหนาแน่น เป็นเขตเมืองใหญ่ จะมีสิ่งอำนวย ความสะดวกด้านการศึกษาครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรืออุดมศึกษาระดับ ต่ำกว่าปริญญา เขตพื้นที่ที่สมบูรณ์เช่นนี้จะไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะแบ่งโดยวิธีใด ๆ เพราะแม้แต่เรื่อง ครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาอื่น อาคารสถานที่และอุปกรณ์การเรียนการสอนก็พร้อมทั้งนั้น ต่างกับเขตพื้นที่ ประเภทที่สอง คือเขตที่มีประชากรกระจัดกระจาย มักเป็นอำเภอรอบนอก อยู่ห่างไกลขาดความพร้อมทาง เศรษฐกิจ พื้นที่เหล่านี้จะขาดครู อาคารสถานที่โดยเฉพาะสำหรับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และอาชีวศึกษาจะขาดแคลนมาก ผู้อยู่ในพื้นที่เหล่านี้จะเสียเปรียบในการได้รับบริการทางการศึกษาส่วนเขต ประเภทที่สาม คือพื้นที่ที่เจริญพอสมควรหรือเป็นจังหวัดขนาดเล็กที่ถือแบ่งเป็นหนึ่งเขต จะมีความพร้อม ระดับปานกลางไม่มีปัญหามากนัก ข้อเป็นห่วงคือการแบ่งเขตพื้นที่จำนวนมากทันที จะทำให้มีเขตที่ขาด ความพร้อมเป็นจำนวนมาก จะเป็นปัญหาในการดูแลจัดการศึกษาในเขตพื้นที่

การแบ่งเขตย่อยๆ ที่มีความพร้อมแตกต่างกันจะทำให้เกิดปัญหาเชิงนโยบายตามรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ เรื่องความเสมอภาคในโอกาสการได้รับการศึกษา ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เขตพื้นที่ที่พร้อม จะได้เปรียบเขตพื้นที่ที่ยังไม่พร้อม ประชาชนจะได้รับโอกาสไม่เท่าเทียมกัน ไม่ต้องถึงเท่ากันจริง ๆ เพียง ใกล้เคียงกันก็เป็นไปไม่ได้ อาจมีการโต้แย้งว่าก็อนุญาตให้เรียนข้ามเขตได้แต่ผู้ที่ไปเรียนข้ามเขตคงได้รับ สิทธิไม่เท่าเทียมคนที่อยู่ในเขตพื้นที่ เพราะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาเป็นคนในเขตพื้นที่อยู่แล้วการศึกษา ระดับอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญาก็มีอยู่เฉพาะในพื้นที่เจริญเป็นส่วนมาก คนพื้นที่อื่น จะไม่มีสถานศึกษา ประเภทนี้ของตนเลย สิทธิในการได้รับโอกาสทางการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อทรัพยากรทางการศึกษาของเขตเจริญมีความพร้อมมากและแตกต่างจากเขตอื่น โอกาสการจัดการ ศึกษาให้มีคุณภาพก็จะแตกต่างกัน คนที่อยู่เขตที่มีความพร้อมจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดีกว่า ขณะที่คน อยู่เขตอื่นจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพด้อยกว่า อีกทั้งเขตพื้นที่อยู่ห่างไกลก็เสียเปรียบอยู่แล้ว เมื่อคุณภาพ การศึกษาแตกต่างกันมาก ก็ย่อมเป็นการยากที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีความใกล้เคียงกันความ เสมอภาคในการได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพก็จะไม่เกิด

ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาจะเกิดปัญหาเช่นกัน เพราะเขตที่พร้อมจะมีทรัพยากรที่สมบูรณ์ เหลือเฟือ ในขณะที่เขตขาดแคลนจะขาดแคลนแทบทุกอย่าง จริงอยู่ทรัพยากรอาจเกลี่ยกันได้ แต่จะไม่ใช่ เรื่องง่ายนัก การเกลี่ยทรัพยากรบุคคลทำได้ แต่ต้องใช้เวลา การเกลี่ยอาคารสถานที่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เลย การแบ่งเขตพื้นที่เช่นนี้ หากจะทำให้ใกล้เคียงกันรัฐจะต้องลงทุนเพิ่มเติมอีกเป็นอันมากจะเป็นไปได้ หรือไม่

ปัญหาการลงทุนของรัฐก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง การแบ่งเขตพื้นที่ 290 เขต รัฐจะต้องลงทุน สร้างสำนักงานใหม่อีกไม่น้อยกว่า 200 แห่ง หากคิดว่าแห่งหนึ่งจะใช้เงินประมาณ 20 ล้านบาท (เป็น ประมาณการขั้นต่ำ) จะต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท เพียงเพื่อสร้างสำนักงานเท่านั้น เหตุใด ไม่คิดเอาเงินจำนวนนี้ไปสร้างคุณภาพการศึกษาโดยตรง ซึ่งจะได้ประโยชน์มากกว่า อยากเห็นว่า 290 เขตนั้นกำหนดให้เป็นเป้าหมายในอนาคต แล้วค่อย ๆ ทะยอยแบ่งออกไปตามสภาพความพร้อมทางการ ศึกษาและทางเศรษฐกิจของประเทศ ทุกฝ่ายก็จะไม่เดือดร้อน

กระทรวงใหม่จะมีหน่วยงานหลัก ห้าหน่วยงานคือ สภาการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะ กรรมการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม และสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นแหล่ง รองรับการกระจายอำนาจของกระทรวง มีหน้าที่กำกับดูแลงานและหน่วยงานของกระทรวงทุกระดับ และ ทุกประเภท งานการศึกษาไม่ว่าระดับพื้นฐานหรืออุดมศึกษาหรืองานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ย่อมมี ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และเขตพื้นที่การศึกษาดูแลแทนกระทรวงทั้งสามงานหลักนอกจากนั้นยังมี งานการศึกษาและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่อีกมากมายที่เขตพื้นที่ต้องเป็นผู้แทนของกระทรวง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ว่าเขตพื้นที่การศึกษาไม่ควรอยู่ในกำกับดูแลของสำนักงานปลัดกระทรวง คือปลัดกระทรวง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของงานการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมทั้งหมด การให้เขตพื้นที่ การศึกษาขึ้นกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็จะแปลได้ว่าเขตพื้นที่การศึกษารองรับการ กระจายอำนาจจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น หากจะให้กำกับดูแลงานอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญา และงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ก็เป็นเพียงงานฝากเท่านั้นเอง ความสำคัญของ อุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา เช่น อาชีวศึกษา และงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมจะมีน้อยลงหรือหาย ไป หากกระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ไม่ให้ความสำคัญกับงาน ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม แล้ว เอกลักษณ์ความเป็นชาติ และการอุปถัมภ์ค้ำชูพระศาสนา จะขาดหายไปแล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

มีการกล่าวกันเสมอว่าเหตุที่เขตพื้นที่การศึกษาอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะหน่วยงานนี้มีองค์คณะบุคคลกำกับดูแล และเหตุที่ไม่ให้ขึ้นกับสำนักงานปลัด กระทรวง เพราะสำนักงานปลัดกระทรวงไม่มีองค์คณะบุคคลหรือกรรมการกำกับดูแล การแก้ปัญหานี้ ทำได้ง่ายมาก เช่น ทบวงมหาวิทยาลัยในปัจจุบันก็มีคณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัย ดังนั้นกระทรวงฯ อาจตั้งกรรมการกำกับดูแล ประสานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นการเฉพาะขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง ก็ไม่น่า จะมีผลเสียแต่ประการใด จะเป็นผลดีเสียอีกที่เขตพื้นที่การศึกษาจะได้เป็นตัวแทนของกระทรวงฯ ในพื้นที่ อย่างแท้จริง

อยากจะขอให้ฝ่ายต่างๆ ทบทวนความคิดเรื่องเขตพื้นที่การศึกษาในสองประเด็นที่กล่าวมานี้อย่าง รอบคอบ ปราศจากอัตตาคติ คิดถึงประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ คิดถึงการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และ วัฒนธรรมของชาติโดยส่วนรวม และโปรดอย่าเห็นว่าผู้ทักท้วงในเรื่องนี้หวงอำนาจ เป็นห่วงประโยชน์ ส่วนตน โปรดเข้าใจให้ตรงกันว่า การศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน และทุกคนต้องช่วยกันพัฒนาการศึกษา ของชาติ

แหล่งที่มา

พนม พงษ์ไพบูลย์. (2553). บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่สิบเอ็ด

ข้อโต้แย้งเรื่องเขตพื้นที่การศึกษา.
ค้นเมื่อ พฤศจิกายน 23, 2553, จาก
http://www.moe.go.th/web-panom/article-panom/book-panom11.htm

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC. Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are registered trademarks of OCLC
Revised:March 2009


Send comments to Chumpot@hotmail.com