ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

370.28 รวมบทความทางการศึกษา

บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่เก้า เขตพื้นที่การศึกษา
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์

กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่จะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะแตกต่างไปจากกระทรวงศึกษาธิการในรูปแบบปัจจุบันค่อนข้างมาก เพราะกระทรวงฯ หรือส่วนกลางจะจำกัดบทบาทหน้าที่เพียง "กำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท การศึกษา ศิลปะและวัฒนธรรม กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา ศาสนา ศิลปะและ วัฒนธรรม" ส่วนการดำเนินการจัดการศึกษาจะเป็นการกระจายอำนาจ และมีการกำหนดให้ "มีการ กระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น"

กฎหมายกำหนดคำใหม่ ทีไม่เคยใช้กันมาก่อน คือคำว่า "เขตพื้นที่การศึกษา" เขตพื้นที่การ ศึกษาจะเป็นจุดรองรับการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากส่วนกลางก่อนไปถึงสถานศึกษา เป็นความ เปลี่ยนแปลงใหม่จากรูปแบบเดิมที่เคยเป็นกระทรวงฯ เป็นจังหวัด เป็นอำเภอ และจึงเป็นสถานศึกษา มาเป็นรูปแบบที่มีกระทรวง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา เป็นการลดขั้นตอนการทำงานไปได้ ส่วนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้การศึกษาสนองตอบ ต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้น

เขตพื้นที่การศึกษาที่เกิดใหม่นี้จะมี "อำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญา รวมทั้งการพิจารณา การจัดตั้ง ยุบรวม หรือเลิก สถานศึกษา ประสาน ส่งเสริมและสนับสนุนสถานศึกษาเอกชนในเขตพื้นที่การศึกษา ประสาน และ ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานการ ศึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่ หลากหลาย รวมทั้งการกำกับดูแลหน่วยงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในเขตพื้นที่การศึกษา" สรุปได้ว่าเขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่ กำกับดูแล และหน้าที่อื่น ๆ ทางการศึกษาแทบทุกอย่างในเขต พื้นที่ สำหรับการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีทั้งหมด และกำกับดูแลหน่วยงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมด้วย เขตพื้นที่การศึกษา จึงมีความสำคัญเป็นผู้แทนกระทรวงในแต่ละพื้นที่ ในด้าน การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ยกเว้นเรื่องการศึกษาระดับอุดมศึกษาเท่านั้น ดูแล้วน่าจะ เรียกว่า "เขตพื้นที่การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม" มากกว่าเรียก "เขตพื้นที่การศึกษา" เฉย ๆ

ความคิดเรื่องเขตพื้นที่การศึกษา ( ซึ่งทำหน้าที่รวมถึงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมด้วย ) เป็นความคิดที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับระบบบริหารการศึกษาของไทย แปลว่า ต่อไปนี้การศึกษาไทยจะไม่มีระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็นระบบกระจายอำนาจ ไม่ผ่าน ระบบจังหวัด และอำเภอ จากกระทรวงไปยังเขตพื้นที่และสถานศึกษา รูปแบบเขตพื้นที่การศึกษา จะเป็นเช่นไร เชื่อว่าขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งตั้งตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ กำลังศึกษาและพิจารณาอยู่ ตามข่าวคราวก็คิดว่าทำงานได้ก้าวหน้าพอสมควร จากคำแถลง ในโอกาสต่าง ๆ จับความได้ว่า กรรมการได้พิจารณาปริมาณสถานศึกษา จำนวนประชากรเป็นหลัก และความเหมาะสมด้านอื่นด้วย คณะกรรมการยึดเกณฑ์ประชากรประมาณ 200,000 คนต่อ เขตพื้นที่ ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 60 ล้านคน ก็คงแบ่งได้ใกล้เคียง 300 เขตพื้นที่ ตัวเลขที่มักปรากฏเป็นข่าวลือ 289 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าจังหวัดต่าง ๆ คง จะซอยย่อยเอา 2, 3, หรือ 4 อำเภอ มารวมกันเป็นหนึ่งเขตพื้นที่การศึกษา ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ใดมี ประชากรหนาแน่นมากหรือน้อย พื้นที่หนาแน่นเขตพื้นที่คงจะแคบ พื้นที่ที่คนอยู่น้อยเขตพื้นที่ ก็จะคลุมกว้าง นักวิชาการหลายคนได้ไปศึกษาวิจัย และคิดคำนวณการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษากัน อย่างสนุกสนาน ข้อมูลนี้แพร่สะพัดไปจนหลายคนหวังจะได้เป็นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา เขตใดเขตหนึ่งจาก 289 เขต และหวังว่าผู้อำนวยการคงจะได้เป็นข้าราชการระดับ 9 ซึ่งสูง ไม่น้อยเลย

ภาพที่ออกมาเรื่องเขตพื้นที่การศึกษาดูดีและสมบูรณ์ทุกอย่าง เป็นภาพในอุดมการณ์ที่ทุกคน ใฝ่ฝันอยากจะเห็นเกิดขึ้นในระบบบริหารการศึกษาไทยเป็นความใหม่ ซึ่งที่จริงก็คงคล้ายระบบที่ ฝรั่งเรียกว่า School District นั่นเอง เป็นระบบเก่าข้างนอกแต่ใหม่สำหรับไทย ผู้เขียนก็สนับสนุน ความคิดนี้มาตั้งแต่ต้นว่า น่าจะเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุด จนมาระยะหลังนี้ได้มีผู้ทักท้วงกับปัญหา ที่อาจจะเกิดตามมาหลายประการ จึงได้หวลฉุกคิด ก็มองเห็นประเด็นปัญหาเหล่านั้นพอสมควร ข้อทักท้วงที่เห็นว่าสำคัญคือ

1. การจัดการศึกษาในรูปแบบปัจจุบันยึดจังหวัดเป็นหลัก จังหวัดเป็นศูนย์กลางของบริการ ทางการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาที่สูงกว่าประถมศึกษา มักเริ่มที่จุดที่เป็นที่ตั้งจังหวัด หรือ อำเภอเมืองก่อนเป็นส่วนใหญ่ แล้วจึงค่อยขยายบริการออกไประดับอำเภอ และตำบลทีหลัง เช่น มัธยมศึกษาเป็นตัวอย่าง แต่บริการทางการศึกษาบางอย่างต้องลงทุนสูงยังไม่สามารถ ขยายออกสู่ระดับอำเภอ ตำบลได้ เช่น อาชีวศึกษา เป็นต้น การศึกษาประเภทนี้จึงรวมอยู่ ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ หากแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาไม่คำนึงถึงประชากร จะมีพื้นที่เป็นจำนวน มากที่มีบริการทางการศึกษาไม่ครบถ้วน และที่มีอยู่ก็จะมีคุณภาพและความพร้อมที่แตกต่าง กันมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในจุดที่เป็นอำเภอเมือง การแบ่งเขตพื้นที่เช่นนี้ จะทำให้เกิด ความไม่เท่าเทียมกันในการได้รับโอกาสทางการศึกษา

2. เขตพื้นที่การศึกษามิได้มีหน้าที่ดูแลงานด้านการศึกษาเท่านั้น ยังมีหน้าที่ส่งเสริมและ ดูแลงานด้านการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมด้วย การแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาดูจะให้ความ สำคัญกับหน้าที่ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมน้อยไป ควรให้ความสำคัญมากขึ้น งาน ส่งเสริมด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมเป็นงานที่กว้าง และมักจะอิงกับระบบบริหาร ราชการส่วนภูมิภาค การแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างของการบริหาร ของจังหวัด จะทำให้งานส่งเสริมด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมดูอ่อนไป

3. การมีเขตพื้นที่การศึกษาถึงเกือบ 300 เขต คงจะต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเพื่อสร้างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้สามารถรองรับข้าราชการประมาณ 50 - 60 คน ทำงานได้ จริงอยู่ อาจมีการดัดแปลงหน่วยงานการศึกษาระดับอำเภอ มาเป็น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ แต่ก็คงได้ไม่มากนัก เพราะหน่วยงานการศึกษาระดับอำเภอ ที่มีอยู่เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก ไม่เพียงพอกับงานที่กว้างขวางครอบคลุมหน้าที่เกือบทุกอย่าง ของกระทรวงได้ ปัญหาก็จะมีว่า รัฐจะมีความสามารถมาลงทุนการจัดตั้งสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาได้มากน้อยเพียงใด แม้ว่ามีพอก็จะเป็นปัญหาว่าสมควรนำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาโดยตรง หรือว่าควรจะนำมาใช้ทำสำนักงานดี

4. ผู้สนับสนุนการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษามาก ๆ มักจะอธิบายว่าเขตพื้นที่การศึกษากับ เขตบริการทางการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นเขตเดียวกัน เขตบริการทางการศึกษาอาจกว้างกว่า เขตพื้นที่การศึกษาได้ เช่น อาชีวศึกษาอาจมีเขตบริการการศึกษาครอบคลุมทั้งจังหวัด แต่ วิทยาลัยอาชีวศึกษา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับระบบบริหารของเขตพื้นที่การศึกษานั้น ก็ดู จะเป็นที่เข้าใจได้ แต่จริง ๆ แล้ว แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาจะมีคณะกรรมการ ซึ่งจะมาจาก ผู้แทนประชาชน และผู้แทนองค์กรต่าง ๆ ในพื้นที่ตั้งเป็นส่วนใหญ่ ผู้อยู่นอกเขตพื้นที่การศึกษา จะหวังว่าจะได้รับบริการการศึกษาเท่าเทียมกับคนที่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาคงเป็นไปได้ยาก

จากปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว จึงเห็นได้ว่ามีความจำเป็นต้องคิดทบทวนการแบ่งเขต พื้นที่การศึกษาเสียใหม่ให้รอบคอบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาสี่ประการหลักที่ยกมาให้เห็น ถ้า หากว่าแก้ได้ก็คงจะไม่มีปัญหาแต่ประการใด เพราะหลักการมีเขตพื้นที่การศึกษานั้นทุกคน เห็นสอดคล้องกันอยู่แล้ว

หลายคนเสนอความเห็นว่าควรให้จังหวัดเป็นเขตพื้นที่การศึกษา ปัญหาที่กล่าวมาจะไม่ เกิด คือแทนที่จะมี 289 เขต ก็แบ่งเป็น 76 เขตพื้นที่การศึกษา ให้หนึ่งจังหวัดมีหนึ่งเขตพื้นที่ การศึกษา ก็ดูจะมีเหตุผลน่าฟังพอสมควร แต่จะมีข้อโต้แย้งว่าบางจังหวัดกว้างขวางใหญ่โต มี ประชากรมากเกินไป ถ้ากำหนดให้มีเขตพื้นที่การศึกษาเดียวจะบริหารงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรให้จังหวัดใหญ่ ๆ มีมากกว่าหนึ่งเขตพื้นที่การศึกษาได้ ส่วนจังหวัดขนาดกลาง และขนาดเล็กก็ให้มีเขตพื้นที่การศึกษาเพียงเขตเดียวก็พอ

ที่จริงทุกฝ่ายที่กล่าวมาก็มีเหตุผลสมควรรับฟังทั้งสิ้น ที่สำคัญจะจัดระบบอย่างไรจึงจะเกิด ประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด เกิดปัญหายุ่งยากน้อยที่สุด และอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ใน สภาพเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน จึงอยากเสนอรูปแบบวิธีจัดแบ่งเขตพื้นที่ใหม่ เพื่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุด โดย

ในเบื้องต้น แบ่งเขตพื้นที่การศึกษาโดยยึดจังหวัดเป็นเกณฑ์ไปก่อน ยกเว้นจังหวัดขนาด ใหญ่ที่สามารถแบ่งเขตย่อยได้ โดยไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในบริการทางการศึกษามากนัก ก็ให้แบ่งได้มากกว่าหนึ่งเขตต่อไปก็พยายามเร่งสร้างความพร้อมและขยายบริการทางการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ให้กว้างขวางไปสู่พื้นที่เป้าหมายที่สมควรแบ่งเป็นเขตได้ เมื่อ พื้นที่ใหม่พร้อมพอสมควรก็ทะยอยแบ่งเขตใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือแทนที่จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 289 เขตพื้นที่การศึกษา ระยะแรกเลย ก็ตั้งเป้าหมายการแบ่งเขตที่สมบูรณ์ในระยะ 10 - 15 ปี ข้างหน้าแทน

ก็อยากจะเสนอให้ทุกฝ่ายได้ช่วยพิจารณาในข้อเสนอนี้ อาจเป็นทางออกที่ดีก็ได้ ใครจะรู้

แหล่งที่มา

พนม พงษ์ไพบูลย์. (2553). บันทึกปลัดกระทรวงศึกษาธิการ: ฉบับที่เก้า เขตพื้นที่การศึกษา.

ค้นเมื่อ พฤศจิกายน 23, 2553, จาก
http://www.moe.go.th/web-panom/article-panom/book-panom09.htm

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC. Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are registered trademarks of OCLC
Revised:March 2009


Send comments to Chumpot@hotmail.com