|
370.28 รวมบทความทางการศึกษา
ใครลิขิต
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์
ในยุคปัจจุบันก็มีโหรทำนายโชคชะตาบ้านเมืองกันมาก หมอดูเป็นของคู่กับชีวิตผู้คนมาแต่โบราณกาล การทำนายโชคชะตาราศีมีทั้งคุณและโทษ ที่เห็นชัดเจนในอดีต เช่น นิทานเรื่อง สังข์ทอง ที่พระสังข์ทองต้องเดือดร้อนที่โหรทำนายว่า พระสังข์ทองซึ่งเกิดมาเป็นหอยสังข์ เป็นเสนียดจัญไรต่อบ้านเมืองให้ทำลายเสีย แต่พระสังข์ก็อยู่รอดปลอดภัยมาได้ และตอนท้ายกลับได้ดิบได้ดีได้นางรจนาเป็นภรรยาอีกด้วย
ในยุคปัจจุบันก็มีโหรทำนายโชคชะตาบ้านเมืองกันมาก ใครจะเชื่อโหรอย่างไร อยากให้อ่านนิทานต่อไปนี้ก่อน นิทานเรื่องนี้ไม่ได้แต่งขึ้นใหม่ แต่มีมานานเป็นนิทานชาดกที่ให้คติเตือนใจดียิ่ง เรื่องมีว่า
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ไปไหนไปด้วยกัน แต่ทั้งสองมีนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน
วันหนึ่งทั้งสองคนได้ไปพบกับหมอดูที่มีคนเชื่อถือ ว่าสามารถทำนายโชคชะตาชีวิตได้แม่นยำเหมือนมองเห็นด้วยตา จึงมีผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก
ชายทั้งสองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็เข้าไปขอให้หมอดูช่วยทำนายชะตาให้ด้วย
เมื่อหมอได้ดูสิ่งต่างๆ ตามที่หมอดูพึงจะดูแล้ว ก็ได้ทำนายโชคชะตาของชายทั้งสองคนว่า
ชายคนที่หนึ่ง จะมีโชควาสนา ได้อยู่ภายใต้เศวตฉัตร
ส่วนชายคนที่สอง จะต้องลำบาก ทำงานหนัก อาบเหงื่อต่างน้ำ ไปตลอดชีวิต
หมอดูทำนายเพียงเท่านี้ ชายคนที่หนึ่งได้ฟังแล้วกระหยิ่มในใจ ต่อไปอนาคตจะได้อยู่ภายใต้เศวตฉัตร ส่วนชายคนที่สองให้วิตกกังวลเพราะจะต้องทุกข์ยากลำบาก เมื่อชะตาชีวิตต่างกัน
ต่อมาชายทั้งสองก็แยกจากกัน ชายคนแรกต้องการไปแสวงหาโชคชะตาวาสนาที่จะส่งผลให้ตนได้อยู่ภายใต้เศวตฉัตร ส่วนชายคนที่สอง กลัวความยากลำบาก ก็คิดหาวิธีการเพื่อให้พ้นความยากลำบาก
ชายคนที่หนึ่ง มุ่งแสวงหาหนทางที่จะได้อยู่ภายใต้ร่มเศวตฉัตร ด้วยวิธีรอ และตั้งความหวังไปเรื่อยๆ เงินทองที่มีอยู่ก็นำมาใช้สอยโดยไม่ได้หามาเพิ่มเติม ใช้ชีวิตด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนาน เมื่อเงินหมดก็เที่ยวหยิบยืมเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง จนเป็นที่เอือมระอา ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย เมื่อหมดที่พึ่งพาอาศัยก็ซัดเซพเนจรไป
เรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีความหวังว่าสักวันจะอยู่ภายใต้เศวตฉัตร
ส่วนชายคนที่สอง เมื่อแยกจากเพื่อนแล้วก็รำพึงว่า เราจะต้องลำบากตลอดชีวิต หากไม่เริ่มทำสิ่งใดเสียแต่บัดนี้จะยิ่งเผชิญกับความยากลำบากหนักขึ้น อย่ากระนั้นเลยจักต้องหาวิธีหนีความยากลำบาก คิดแล้วก็ออกเดินทางไปจนพบที่ดินแห่งหนึ่งเป็นที่รกร้างไม่มีเจ้าของ แต่ดูดินมีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ชาวหนุ่มจึงเข้าไปหักร้างถางพงขุดดินยกร่อง ทำไร่ที่สวนปลูกพืชผักผลไม้ ด้วยความกลัวความยากลำบาก เขาทำงานหนัก ไม่ช้าไร่สวนของเขาก็งอกงามอุดมบูรณ์
นอกจากกลัวความยากลำบาก เขายังเกรงว่าตนต้องทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำตลอดชีวิตอย่างเขาจะไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เขาจึงมีน้ำใจเอื้ออารีกับทุกคนที่ได้รู้จัก ความขยันของเขาทำให้เขามีฐานะดีขึ้นในเวลาต่อมา ความมีน้ำใจเอื้ออารี รู้จักแบ่งปันสิ่งของให้ผู้อื่น รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เขามีคนนับหน้าถือตาเขามากขึ้น ไม่นานนักเขาก็มีฐานะดีถึงขั้นเศรษฐีประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านไว้วางใจเลือกเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เศรษฐีเดิมของหมู่บ้านนั้นก็เอ็นดูยกลูกสาวให้เป็นคู่ครอง ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองแถบนั้นเสียชีวิต พระราชาทราบข่าวความเป็นคนขยันและคนดีของเขา ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าเมืองแทน แต่เขาก็ยังขยันและทำงานหนักเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีคนถามว่า ทำไมไม่หยุดพักเสียบ้าง เขาตอบว่ามันเคยชินเสียแล้ว
กล่าวถึงชายคนที่หนึ่ง เมื่อไม่มีใครคบด้วย ก็เที่ยวพเนจรขอทานเขากิน เมื่อคนในหมู่บ้านรังเกียจก็กระเซอะกระเซิงไปเรื่อยๆ เขาอดอยากหิวโหย ไม่มีใครให้ข้าวให้น้ำกิน เขาอ่อนแรงหน้ามืดตาลาย แต่ความหวังที่จะได้อยู่ใต้ร่มเศวตฉัตรยังมีอยู่
เมื่อเขาใกล้จะล้มลงนั้น บังเอิญได้มีพระธุดงค์ผ่านมา พระธุดงค์เห็นชายผ่ายผอมใกล้จะสิ้นชีวิต ก็ได้นึกสงสาร จึงเอากลดของพระธุดงค์มากางให้ แล้วประคองชายที่น่าสงสารเข้าไปอยู่ในร่มเงาของกลด ชายคนที่หนึ่งเมื่อเข้าร่มก็ล้มลง เขาลืมตา บัดนี้เขาเข้ามาอยู่ใต้ร่มสีขาวของพระธุดงค์ ซึ่งก็คือ เศวตฉัตร แล้วเขาก็สิ้นชีวิต
บริเวณที่ชายคนที่หนึ่งมาสิ้นลม ก็คือท้ายสวนของชายคนที่สอง บังเอิญเขาตรวจสวนผ่านมายามนั้น เห็นชายที่สิ้นชีวิตก็เข้าไปพิจารณาและจำได้ว่า เป็นเพื่อนเขานั่นเอง เมื่อทราบความจากพระธุดงค์เขาก็รำพึงรำพันว่า
พิโธ่เอ๋ย ถ้าเพื่อนไม่หลงคำทำนายจนเกินไป ก็คงไม่มานอนตายอย่างอนาถเช่นนี้
แหล่งที่มา
Gotoknow.org. (2553). ใครลิขิต.
ค้นเมื่อ ตุลาคม 23, 2553, จาก
http://gotoknow.org/blog/panom/178747
|
|