ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

เรื่องจริงอิงนิทาน(พิเศษ)และรวมคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เราถูกศาสนาฮินดูทำลายเสียยับเยินกระทั่งมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มาฟื้นฟูขึ้นใหม่ เวลานั้นก็ผ่านไปตั้ง ๒๐๐ ปีเศษ ฉะนั้นสถานที่ต่าง ๆ ที่จะพึงจดจำกันอาจจะพลาดกันบ้าง เวลาที่พวกเราไปนั่งกันที่โคนต้นโพธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า โพธิตรัสรู้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ พ่อก็นึกแปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมความรู้สึกจึงเป็นไปอย่างนั้น แต่เป็นเพราะจิตที่เคยฝึกสมาธิจนชิน หรือว่าจะเป็นเพราะอารมณ์เคลิ้มก็ได้ ถ้าพูดว่าอารมณ์เคลิ้มก็เห็นว่าจะถูก ทั้งนี้เพราะว่า ๑. เหนื่อยเกินไป ๒. ความร้อนมาก ๓. จิตตั้งใจเกินไป

เมื่อมีอารมณ์เคลิ้ม ก็มีภาพเกิดขึ้น อย่างนี้ถ้าจะถือว่าเป็นการใช้ฌานสมาบัติก็ไม่ถูกจะเรียกว่าการใช้อภิญญาก็ไม่ถูก ความจริงถ้าจะถือว่าพ่อเป็นพระมีฌานสมาบัติ หรือว่าพ่อเป็นพระมีอภิญญาพ่อไม่เคยบอกใคร ว่าพ่อมีอย่างนั้น พ่อมีอารมณ์อย่างเดียว คือความรักพระพุทธเจ้า และก็ชอบพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ มีความสนใจในพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อเคยเห็นพระพุทธเจ้าตามภาพนิมิตก่อนที่จะตายวาระแรกเห็นพระองค์สวยสดงดงามมาก ฉะนั้นภาพนั้นจึงติดตาติดใจพ่ออยู่ตลอดเวลา เห็นจะเป็นเพราะจิตผูกพันในพระพุทธเจ้ามาก จึงได้มีอารมณ์เคลิ้ม และมีภาพเกิดขึ้น

สำหรับต้นโพธิ์ที่พระท่านบอกว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ โพธิ์ต้นก่อนตายไป แล้วก็เกิดต้นโพธิ์ใหม่ ๔ คราว ชั่วระยะเวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษ ก็น่าจะพูดว่าอย่างนั้น เพราะถ้าบอกว่าโพธิ์ต้นที่เห็นอยู่ปัจจุบันมีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ พ่อก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน ถ้าต้นไม้ที่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ ต้นต้องโตและมีอะไรเป็นกรณีพิเศษ ต่อนี้ไปก็มาวินิจฉัยว่าต้นโพธิ์ที่เราเห็นอยู่ตรงนั้น เป็นต้นที่เกิดตรงกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณหรือเปล่า เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็เห็นจะไม่ต้องบอกกับบรรดาลูกรักทั้งหลาย เพราะลูกของพ่อทุกคนมีความเข้าใจดี ถึงเรื่องโพธิ์ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณว่าอยู่ตรงไหน ความจริงพ่อทราบจากพระมหาวิจิตรว่าทางฝ่ายธิเบตเขาได้ตำราไว้มาก ได้หลักฐานไว้มาก เป็นอันว่าธิเบตก็เข้าใจตรง

และบรรดาลูก ๆ ทุกคนก็เข้าใจตรง แต่ก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งคิดกันว่า ต้นโพธิ์ต้นนั้นอยู่ตรงไหน เพราะว่าการบูชาพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นจะต้องไปบูชาที่ต้นโพธิ์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แดนปฐมเทศนา พระปรินิพพาน การที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำไว้ในกาลนั้น ว่าควรจะระลึกถึงที่ ๔ แห่งนี้ก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์ต้องการให้ทุกคนมีความเข้าใจว่า เกิดขึ้นมาแล้วก็ดี ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและร่างกาย มันก็เป็นไปตามลำดับ

ในที่สุด จากฆราวาสก็มาเป็นพระ จากพระก็เป็นนักเทศน์ จากเทศน์ก็ตาย ถ้าเราไปที่ประสูติหรือตรัสรู้ หรือที่ปรินิพพาน หรือที่แสดงปฐมเทศนา ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันก็มีประโยชน์

แต่ถ้าเราจะคิดว่าไปเอาดินจากสังเวชนียสถานมาทำพระขายกันนี่ พ่อมองไม่เห็นประโยชน์เหมือนกัน ฉะนั้น การไหว้พระพุทธเจ้า เราจะไหว้ที่ประสูติ ไหว้ที่ตรัสรู้ ไหว้ที่แสดงปฐมเทศนา หรือไปไหว้ที่ปรินิพพาน หรือว่าเราจะไหว้ในห้องบ้านของเรา แต่ทว่าเราไหว้ด้วยความเคารพ การบูชาใช้ ๒ อย่าง คือ อามิสบูชา บูชาด้วยของมีวัตถุ ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้นก็ดี หรือว่าจะบูชาด้วยปฏิบัติบูชา ด้วยช่วยกันทั้งสองอย่าง ถ้าการบูชาครบทั้งสองอย่างนี้ เราไหว้พระพุทธเจ้าตรงไหนก็ถึงที่นั่น

เป็นอันว่า จุดที่ลูก ๆ ไปบ้านนางสุชาดา พ่อคิดว่าตรง สำหรับเมืองพาราณสีก็น่าจะมีอะไรดี ๆ อยู่มาก ทั้งนี้ เพราะเมืองราชคฤห์ คือ รัฐวิหาร มีเขตติดต่อกับกรุงพาราณสี สมัยโน้นเมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อพระราชบิดา ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชาปกครองประเทศ มีพระสหายรวมกัน ๔ ท่าน คือ

๑. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยเมื่อเป็นสิทธัตถะราชกุมาร

๒. พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองพาราณสี คือ เป็นลูกชายของพระราชาเมืองนั้น

๓. กรุงราชคฤห์ คือ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นลูกของพระราชาเมืองราชคฤห์

๔. พันธุรเสนา เป็นลูกของพระราชาเมืองไหน นึกไม่ออก

ทั้ง ๔ ท่าน เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน มีความรักใคร่กันมาก เวลาที่ไปศึกษาที่เมืองตักกศิลาก็ไปด้วยกัน เวลาจบก็จบพร้อมกัน ต่างคนต่างก็เรียนเก่ง เมื่อกลับมาแล้ว ก็ต้องมาแสดงความรู้ความสามารถให้หมู่พระประยูรญาติดู ให้พากันชม เป็นการสอบความสามารถที่ศึกษามาได้นั่นเอง สำหรับทั้ง ๓ ท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นต้องเรียกว่าสิทธัตถะราชกุมาร พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล แสดงความสามารถให้หมู่พระประยูรญาติชม ก็เป็นที่ชื่นชมยินดีของหมู่พระประยูรญาติ เป็นอันว่าไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่ทว่า พันธุรเสนา เป็นนักรบที่มีกำลังกล้ามาก ท่านนี้เวลาไปแสดงความสามารถ ท่านให้เอาไม้ลำใส่สำให้สูงขึ้นไป ท่านจะโดฟันผ่าไม้ลำตั้งแต่ปลายโน่นให้ลงถึงพื้นดิน มีกำลังมาก

แต่ว่าบรรดาหมู่พระประยูรญาติแกล้ง เอาเหล็กเข้าไปขวางไว้ แต่ว่าท่านฟันลงมาปั๊บรู้สึกว่าดังกริ๊ก จึงได้ถามหมู่พระประยูรญาติว่า ไม้ทำไมถึงดังกริ๊กข้างใน เอามาดูปรากฏว่าเป็นเหล็ก ท่านก็เสียใจ คิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์กับท่าน ถ้าบอกกับท่านสักหน่อยเดียวว่าอันนี้มีเหล็ก จะฟันไม่ให้ดังกริ๊กเลย เท่านั้นแหละจึงได้ออกจากเมืองไปอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ให้เป็นคนตัดสินความ มีหน้าที่ชำระความ ท่านก็ตัดสินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต่อมาไม่ช้าอำมาตย์ปัจจามิตรที่เคยได้สินบนก็คิดฆ่าท่านเสีย

เป็นอันว่าลูก ไปเมืองพาราณสีกันมาก ก็เพราะว่าเมืองพาราณสีเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำหรับลูก ๆ ความจริงกรุงราชคฤห์ก็น้อมอยู่ในประวัติศาสตร์ของลูก ๆ เหมือนกัน เพราะว่าพระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเป็นพระสหายกัน และเป็นพระสหายที่รักกันมาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเทศน์สอนปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ แล้ว ก็มุ่งไปกรุงราชคฤห์มหานคร ทั้งนี้เพราะว่าจอมบพิตรอดิศร คือ พระเจ้าพิมพิสารอาราธนาไว้ว่า ถ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อใด ขอให้มาโปรดข้าพเจ้าก่อน

สำหรับพระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระเจ้าพิมพิสารนี้ ต่างคนต่างก็ได้แต่งงานกับน้องสาวซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็เป็นพี่เมียซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็เป็นน้องเขยซึ่งกันและกัน เวลาคุยกันจะคุยกันแบบไหน พ่อก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับลูก ๆ คงมีความผูกพันอยู่ในเมืองพาราณสีมาก เพราะเรื่องราวของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับเรื่องราวของลูก ๆ เกี่ยวพันกันมาก ความจริงมาถึงตอนนี้ พ่อก็อยากขอชมลูก ลูกทุกคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว แล้วก็ใช้กำลังสมาธิพิสูจน์เหตุการณ์ต่าง ๆ และก็หลายคนบันทึกรายงานเข้ามา รู้สึกว่าถูกต้องดี คือว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามอัธยาศัย นั่นแหละดีที่สุด และชื่อว่าทำดีและก็ถูกต้องด้วย ถ้าหากว่าทุคนจะพยายามใช้อารมณ์แบบนั้น เห็นอะไรขึ้นมาก็ใช้กำลังใจทันที ให้มันใช้ได้โดยฉับพลัน แบบนี้จะมีคุณเป็นประโยชน์ แทนที่จะมีโทษ ประโยชน์มันจะใหญ่

เรื่อง ภูเขาคิชฌกูฏ

สำหรับ ภูเขาคิชฌกูฏ เป็นภูเขาประวัติศาสตร์ของทางพระพุทธศาสนา คิชฌกูฏนี้ก็เป็น เนิน ๆ หนึ่ง จะว่าเป็นภูเขาก็ไม่ชัด เป็นเขาต่ำ เป็นภูเขาที่พระเทวทัตคิดล้างผลาญพระพุทธเจ้า คือ กลิ้งหินให้ทับพระพุทธเจ้า ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เชิงเขา พ่อพูดตามอารมณ์ใจเมื่อเวลาคุยธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขณะใดถ้าเราสั่งสนทนาธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากกิเลส” ถ้าจิตว่างจากกิเลส มันก็เกิดอารมณ์รู้ ก็สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้ เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เชิงเขาคิมฌกูฎในยามเย็น องค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จประทับอยู่พระองค์เดียวบนก้อนหินก้อนหนึ่งหันหลังให้ภูเขาคิชฌกูฏ หันหน้าออกไปด้านหน้าแต่ไม่ได้หันตรงนัก เป็นเฉียง ๆ นิด ๆ หันหลังให้ภูเขาคิชฌกูฏ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางมือออกไปทิศใต้แล้วก็เฉียงไปตะวันตกนิด ๆ

เวลานั้นเป็นโอกาสที่พระเทวทัตคิดจะล้างผลาญองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ จึงได้กลิ้งหินลูกใหญ่ มันเป็นทางเรียบ การกลิ้ง กลิ้งมาทางทิศใต้ การที่พระเทวทัตคิดจะทำร้ายองค์สมเด็จพระบรมครู อย่านึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ทราบ แต่ว่าถ้าถามว่าเมื่อทราบแล้ว มานั่งให้พระเทวทัตทำร้ายเพราะอะไร ก็จะต้องตอบว่า จะนั่งตรงไหนก็ตาม วันนั้นพระเทวทัตก็ต้องหาทางทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ได้ เพราะว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ภูเขาคิชฌกูฏ หรือประทับที่ไหนก็ตาม จะต้องประทับเดี่ยว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ไกลออกไป แต่ก็ไม่ไกลกันมากนัก ไม่ต้องอยู่เวรอยู่ยามกัน จะมีบ้างก็ได้แก่ พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ถ้าเวลาพระพุทธเจ้า

เสด็จทรงพระสำราญ พระอานนท์ก็จะหลีกไปให้ห่าง จะเข้ามาใกล้ ๆ ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียก

เป็นอันว่าขณะที่พระองค์กำลังนั่งดูอากาศ ดูทิวทัศน์ ดูบรรดาประชาชนที่เดินไปเดินมา แล้วก็มีพระมหากรุณาธิคุณคิดว่า โอหนอ บรรดาประชาชนเหล่านี้ที่เดินไปเดินมา ที่ยังมีความประมาทอยู่มาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ใคร่ครวญคิดจะหาทางใดหนอ ที่จะสงเคราะห์เขาให้มีความเข้าใจว่า โลภะ ความโลภ ราคะความรัก โทสะ ความโกรธ โมหะความหลง มันเป็นภัยใหญ่ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นทุกข์ ทำอย่างไรเขาจึงจะมีความสุข พระองค์ทรงใคร่ครวญ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า

ในขณะนั้นเองลูกรัก เป็นโอกาสของพระเทวทัตขยับก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งลงมา มันเป็นทางเฉพาะ เป็นทางจำกัดที่จะต้องมาชนพระพุทธเจ้าจนได้ แต่ทว่าอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตร บรรดาพรหม และเทวดาทั้งหลายบันดาลให้กินก้อนโตกว่าบังไว้ หินก้อนนั้นมากระทบหินก้อนใหญ่กว่าซึ่งแข็งกว่า ด้วยอำนาจของเทวดา กินก้อนนั้นก็แตกกระจัดกระจาย สะเก็ดก้อนเล็ก ๆ ไม่เท่ากำปั้น กระเด็นมาถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ถึงกับห้อพระโลหิต

แต่ว่าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสจะได้ทรงกริ้วโกรธก็หาไม่ เป็นอันว่าหินที่พระเทวทัต กลิ้งลงมาได้กระจายไป หมดไปแล้ว หินที่ขึ้นมาขวางไม่ให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีอันตราย เวลานี้ยังคงมีอยู่เป็นหินก้อนใหญ่แต่ก็ไม่โตมากนัก แต่ก็มีกำลังขวางพอ เวลานี้เป็นหินที่สูงขึ้นมาไม่มาก เพราะดินมันงอกขึ้นมา ภูเขาคิชฌกูฏ เป็นเขาประวัติศาสตร์ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จประทับเพื่อแสดงพระธรรมเทศนา และท่านพระมหาโมคคัลลาน์เคยพบเปรตต่าง ๆ ที่เขตเขาคิชฌกูฏ

เราก็มานั่งพิจารณากันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำเพื่อเราทุกคน พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และต้องต่อสู้กับความลำบากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อสู้มาตามลำดับตั้งแต่ต้น ถอยหลังไปตั้งแต่เรื่องพระเวสสันดรหรือทศชาติ จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงมีความลำบากมาก ต้องอดทนทุกอย่าง ต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่างเพื่อเรา ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกิดมาสร้างความเลว ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า มันจะสมไหมกับที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้มีความสุข

สมมติว่าอย่างพ่อนี่ พ่อเองพ่อก็ไม่ใช่คนดีนะลูกนะ อย่าไปนึกว่าพ่อเป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ พ่อบอกลูกแล้วว่า พ่อมองไม่เห็นความดีมันมีตรงไหน แก่ลงไปทุกวันยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยเหตุประการต่าง ๆ จิตจะต้องห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ตามหน้าที่ของพ่อกับลูก แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งของจิตก็ยกไว้ พูดไปมันก็เป็นภัยกับตัวเอง พ่อก็ทำได้แค่นี้แหละ ไอ้ความดีน่ะ พ่อดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เป็นอันว่าสมมติว่าพ่อห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่อย่างนี้ และการที่จะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องทรงอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญา

สิกขา สิกขาแปลว่า ศึกษา คือ ปฏิบัติ อธิ แปลว่า ยิ่ง หมายความว่า ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้มั่นคง ทำวิปัสสนาญาณให้ทรงตัว คือ ไม่เมาในโลกธรรม ๘

ถ้าบังเอิญพ่อเป็นนักโลภโมโทสันพ่อมัวเมาในโลกธรรม ๘ ประการ ลูกรัก มันจะสมไหมกับที่เอาผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ และที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงใช้ความเพียรพยายามต่อสู้กับความลำบากอย่างมาก แต่การบวชเข้ามาแล้วกลายเป็นโจรปล้นความดีของบุคคลอื่นไป บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย ใครปรึกษาหารือก็ได้สตางค์ด้วย แต่พ่อไม่ได้เช่าบ้าน พ่อสร้างบ้านให้คนอื่นเขาอยู่เฉย ๆ พ่อก็เลยเป็นคนที่ไม่ตรงกับภาษิตนี้

แต่ทว่าเวลานี้พ่อก็สงสารพระพุทธเจ้า คือ พ่อทำได้ไม่เท่ากับที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์ คือ ความดีที่พ่อมีมันยังไม่พอ แต่ว่าลูกรัก พ่อหมดกำลังแค่นี้ ก็ทำได้แค่นี้ แต่ว่าตอนแก่นี่ดีนิดหนึ่ง ที่ได้ลูก ๆ ทุกคนที่ฝึกฝนในด้านสมาธิตามสมควร และทุกคนก็ช่วยพ่อ ถึงเวลาวันเสาร์วันอาทิตย์ก็มาช่วยกันด้วยประการทั้งปวง จะไปที่ไหนก็ไปช่วยกันฝึก ไม่ได้เงินไม่ได้ทอง กลับต้องจ่ายเงินจ่ายทองด้วย ความจริงลูกมีพ่อแทนที่จะได้เงินได้ทองจากพ่อ แต่ลูกต้องมาจ่ายเพื่อพ่อ ก็จัดว่าเป็นความดีของลูก

เป็นอันว่าการเดินทางไปอินเดียคราวนี้ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยครบถ้วนมากกว่าในประเทศอินเดีย และพระไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ถ้ามีผลทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเป็นประโยชน์มาก การไปคราวนี้จะได้อะไรจากวัตถุจากอินเดียไม่มีความสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นมูลค่าที่ได้ทำประโยชน์ให้วัดไทยพุทธคยา นอกจากถวายค่าภัตตาหารพระ และปัจจัยกันแล้ว ก็มีสิ่งของที่ทำการก่อสร้างเป็นถาวรไว้ มีเครื่องสูบน้ำ สร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ถวายผ้าไตรกับพระสงฆ์ประมาณ ๖๐ ไตร ถวายอาหาร และปัจจัยแก่พระที่วัดไทยพุทธคยา

นอกจากนั้นได้แจกอาหารแห้ง และสิ่งของให้กับนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ได้มาช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่คณะของเรา และทุกคนก็ได้มาฝึกมโนมยิทธิได้กันเกือบทุกคน ก่อนที่จะออกเดินทางจากประเทศไทย ได้มีท่านผู้ทรงความดีสงเคราะห์พ่อด้วยการเงินเป็นจำนวนมาก เป็นอันว่าเงินที่ทุกท่านให้ไป ถ้าหากว่าจะใช้เฉพาะพ่อคนเดียวก็เหลือเฟือ ฉะนั้น เงินจำนวนนี้ทั้งหมดพ่อเอาไปแล้วก็เลยไม่ได้นำกลับมาถวายพระที่วัดพุทธคยาไว้หมด รวมแล้วเห็นจะเป็นการทำบุญกันเกินกว่า ๖ หมื่นบาท นี่เป็นอันว่าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการเดินทางไปอินเดียครั้งนี้

ทุกครั้งที่พ่อทำการบันทึกเสียง ขณะที่พ่อพูด พ่อเหนื่อยมาก เพราะตรากตรำงานมาทั้งวัน เวลาที่พ่อพูดใจก็ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังงง เกือบจะทรงตัวไม่ไหว และพ่อก็เกรงว่า ร่างกายของพ่อมันจะทนต่อการใช้งานไม่ไหว อาจจะต้องจากลูกไปวันใดวันหนึ่งก็ได้ เรื่องของชีวิต และก็เรื่องของขันธ์ ๕ ขอลูกรักของพ่อจงอย่าสนใจกับมันมากนัก เพราะว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าเราจะไปยุ่งคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ตลอดเวลา คือ ตายไปในที่สุด ความแก่ ของพ่อเป็นตำราที่ดีของลูก ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในขันธ์ ๕ ของพ่อ ก็เป็นตำราที่ดีของลูก และก็ในที่สุด พ่อถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา ถูกตำหนิ ถูกโจมตี ก็เป็นตำราที่ดีของลูก

ขอลูกรักทั้งหมดจงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ ร่างกาย มันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคนจงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเอง และของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจหมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ฉันเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้ เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัด ๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไม่ตามใจกู ก็ก็ไม่คบมึงอีกต่อไป

เวลานี้การเดินทางทุกครั้งของพ่อ ถึงแม้บางครั้งจะไปพักผ่อนก็ตาม พ่อมันหมดสนุกซะแล้วลูกรัก น้ำใจของพ่อจริง ๆ อยากจะให้ลูกชายและหญิงของพ่อทุกคนที่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่แล้วได้ท่องเที่ยวมาดูภูมิประเทศ และก็เพื่อที่จะจำไว้ว่า ที่ใดจะเป็นที่พักของเราได้บ้าง เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้า งานของเราจะต้องมีทำต่อไป ความสุขรื่นเริงจริง ๆ ของพ่อก็คือ ๑. ถ้าเห็นลูกรักทั้งหมดของพ่อมีจิตเมตตาปรานี ปรารถนาสงเคราะห์คน และสัตว์ให้มีความสุข ๒. เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยศีลาจารวัตร ๓. ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ ๔. ลูกมีกำลับจิตเข้าประหัตประหารสร้างสังขารุเบกขาญาณให้เกิด

ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุข ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน

เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชาย ตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระ และเณร เป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่างที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนก็ช่วยกันแบก และแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่าความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณนาถึงความดี คำว่า เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าพ่อเห็นว่า ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคนมีความดีเกินไปกว่าที่พ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อ

ทั้งนี้ เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่า ลูกจะพึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุก

อย่างยอมเสียสละทุกอย่างมาทำงานในศูนย์เพื่อสาธารณประโยชน์ มีน้ำใจเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจของพ่อ

ความดีของลูกอย่างนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมากเท่าไรประโยชน์ที่ลูกจะพึงได้ก็จะน้อยไปเท่านั้น เพราะวันเวลาที่เราพึงจะต้องตาย เราห้ามมันไม่ได้มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคนมาก พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือด และเนื้อของพ่อ จะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เถิด.

แหล่งที่มา

Praruttanatri.com. (2014). คำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี. ค้นจาก

http://www.praruttanatri.com/v1/special/books/ruengjing_piset.pdf

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC.
Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are
registered trademarks of OCLC
Revised:May 2014


Send comments to wachum49@hotmail.com