แนวความคิดของจิตวิทยากลุ่มต่างๆ
1. กลุ่มโครงสร้างของจิต ( Structuralism )
กลุ่มนี้เกิดจากผลงาน ของ อีบี. ทิสเชอเนอร์
วัตถุประสงค์ของจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ การวิเคราะห์ภายในจิตใจของมนุษย์ห (
introspection ) หรือ การพินิจภายใน ด้วยความระมัดระวัง
ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับลักษณะและประสบการณ์เกี่ยวกับจิตสำนึกแบบง่ายๆ
แล้วนำมาหาความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
และความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆ
กลุ่มนี้เห็นว่าควรทำการวิเคราะห์สิ่งย่อยๆ หลายๆ อัน
ทั้งสิ่งที่ยากและง่ายรวมเข้าเป็นกลุ่มก้อน
พยายามมองว่าจิตประกอบด้วยประสบการณ์ย่อยๆ หลายๆ อัน
นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาถึงเรื่องจิตธาตุ ( mental elements ) คือ
เชื่อว่ามนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย กับจิตใจ ซึ่งต่างก็เป็นอิสระแก่กัน
แต่ก็ทำงานสัมพันธ์กัน พฤติกรรมของบุคคลเกิดการจากกระทำของร่างกาย
ซึ่งการกระทำของร่างกายนั้นเกิดจากการควบคุมและสั่งการของจิตใจ
ซึ่งกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าโครงสร้างของจิตประกอบไปด้วย จิตธาตุ (mental
elements ) ซึ่งจิตธาตุนี้ประกอบด้วยสัมผัส ( sensation ) รู้สึก ( feeling )
และจิตนาการหรือภาพจิต หรือจิตภาพ หรือจินตภาพ หรือมโนภาพ ( image )
จิตธาตุทั้ง 3 นี้ เมื่อมาสัมพันธ์กันภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่เหมาะสม
ก็จะก่อให้เกิดรูปจิตผสมขึ้น เช่น เกิดความคิด อารมณ์ ความจำ การหาเหตุผล ฯลฯ
ซึ่งจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญคือความเชื่อในเรื่ององค์ประกอบของบุคคลว่า
บุคคลประกอบไปด้วยร่างกายและจิตใจ จิตใจยังแบ่งย่อยได้ เช่น
ส่วนที่เกี่ยวกับการคิด การจำ ฯลฯ
และสิ่งที่นำใช้ในการจัดการศึกษานักการศึกษาเชื่อว่าหากต้องการฝึกจิตธาตุส่วนใดให้มีความสามารถต้องฝึกฝนเรื่องนั้นโดยเฉพาะ
เช่น วิชาที่เกี่ยวกับการท่องจำ วิชาที่ต้องใช้ทักษะ วิชาที่ต้องใช้ความคิด
เป็นต้น
2. กลุ่มหน้าที่ของจิต ( Function a lism )
ผู้พัฒนากลุ่มนี้ คือ วิลเลียม เจมส์ ผู้บุกเบิกเริ่มต้น คือ จอร์ห
ดิวอี้ และ เจมส์ แองเจิล นักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นเกี่ยวกับการเรียนรู้
การทดสอบทางจิต และการใช้เนื้อหาวิชาต่างๆ โดยเน้นเกี่ยวกับ อะไร .
เพื่ออะไร สนใจเกี่ยวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตทำอะไร
และการกระทำนี้จะรวมถึงอากัปกริยาที่แสดงออกรวมกับความตั้งใจในการกระทำ
ซึ่งจิตจะมีหน้าที่ควบคุมการกระทำกิจกรรมของร่างกายในการที่ร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
แนวความคิดของกลุ่มหน้าที่ของจิตสรุปได้
2 ประการ 1. การแสดงออก หรือการกระทำกิจกรรมต่างๆ ของบุคคล
เป็นการแสดงออกของจิตเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
ถ้าต้องการจะศึกษาจิตใจของคนต้องศึกษาที่การแสดงออก
หรือการกระทำของเขาในสถานการณ์ต่างๆ 2. พฤติกรรมการกระทำ
และการแสดงออกของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้รับมา
นักจิตวิทยากลุ่มนี้จึงมุ่งศึกษาวิธีการเรียนรู้ การจูงใจ การแก้ปัญหา
ความจำของคนเพื่อที่จะสามารถปรับตัวให้กับสิ่งแวดล้อมได้
แนวคิดของกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อการจัดการศึกษาคือเพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสูข
ซึ่งตรงกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ว่า
การศึกษาคือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
วิธีการเรียนการสอนต้องให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ให้มากที่สุด 3.
กลุ่มพฤติกรรมนิยม ( Behaviorism ) ผู้นำกลุ่มนี้ คือ จอห์น บี วัตสัน (
John B. Watson )
กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการพินิจภายในหรือวิธีการตรวจสอบตนเอง
และถูกวิพากษ์วิจารณ์มากในเรื่องที่ว่าพยายามทำให้มนุษย์เป็นเหมือนเครื่องจักรวัตสันมีความเห็นว่า
พฤติกรรมเป็นการกระทำที่ทุกคนเห็นได้
ส่วนจิตสำนึกเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถมองเห็นได้ดังนั้นศาสตร์ควจจะเกี่ยวข้องกับความจริงทุกคนเห็นได้
มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองโดยเชื่อว่า
พฤติกรรมของคนเราเกิดขึ้นจากการแสดงอาการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
และการตอบสนองติดต่อกันไปเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดการเรียนรู้
เชื่อว่าพฤติกรรมทุกอย่างย่อมมีสาเหตุมาจากสิ่งเร้า
จิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไข
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเชื่อว่าการฝึกอบรมเด็กให้มีพฤติกรรมตามที่ปรารถนได้
พฤติกรรรมของคนเกิดการเรียนรู้มากกว่าที่จะเป็นไปเองธรรมชาติ 4.
กลุ่มจิตวิเคราะห์ ( Psychoanalysis ) ผู้นำจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud ) ฟรอยด์เป็นจิตแพทย์ชาวเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ฟรอยด์ได้วิเคราะห์ภาวะจิตใจของคนเราออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
ภาวะจิตรู้สำนึก ( conscious mind )
คือภาวะที่คนเราความรู้สึกตัวว่าเราคือใคร กำลังทำอะไร รู้ตัว
รู้ตนว่าเป็นอะไร คือเป็นภาวะที่คนเรารู้สึกตัวมีสตินั่นเอง ส่วนจิตใต้สำนึก
( subconscions mind ) คือ สภาพที่ไม่รู้ตัวบางขณะ
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่จำและไม่ได้ลืมเสียทีเดียว แต่ไม่ได้นึกถึงในขณะนั้น
จะนึกขึ้นมาได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเตือนทำให้นึกออกหรือคิดได้ทันที
เป็นประสบการณ์ต่างๆ ที่เก็บไว้ในรูปของความทรงจำ
เป็นสภาวะที่คนเราสามารถระลึกได้ และจิตไร้สำนึก ( unconscious mind )
เป็นสภาวะที่คนเราเก็บกดบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
บางครั้งเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ว่าการทำสิ่งนั้นเพราะอะไร
เป็นสิ่งที่เก็บกดเอาไว้หรือพยายามที่จะลืม บางครั้งก็อาจลืมไปได้จริงๆ
เพราะอาจเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดไม่อยากจะจำไว้
การออกของจิตไร้สำนึกหรือสิ่งที่เราเก็บกดเอาไว้เหล่านี้มักจะออกมาในรูปของความฝัน
การละเมอการพลั้งปากพูดออกไป
หรือการสะกดจิตของจิตแพทย์เพื่อต้องการรู้ถึงจิตไร้สำนึกซึ่งเป็นความขัดแย้งในใจและเชื่อว่าเป็นสาเหตุของพฤติกรรม
ที่เบี่ยงเบนหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติและบุคลิกภาพที่เป็นปัญหาของบุคคล
นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังได้วิเคราะห์องค์ประกอบของจิต หรือ พลังจิต ออกเป็น 3
ส่วน คือ อิด ( id ) หรือ ตัณหา คือ ความอยากทั้งหลายทั้งปวง
ความต้องการดั้งเดิมของมนุษย์ รวมทั้งสัญชาติญาณและแรงขับ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตที่คอยกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมตามหลักแห่งความพอใจ
( pleasure principle ) เพื่อตอบสนองความต้องการของตน
เป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้ขัดเกลา ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แสดงออกให้มาซึ่งสิ่
งท ี่ตนต้องการ ทำพฤติกรรมต่างๆ ตามความพอใจ
พฤติกรรมที่แสดงออกมาภายใต้อิทธิพลของอิดนี้จึงมีลักษณะค่อนข้าง ก้าวร้าว
หยาบคาย เห็นแก่ตัว บางครั้งโหดร้าย เป็นต้น ส่วนอีโก้ ( ego) คือ
พลังจิตที่ควบคุมการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมซึ่งบุคคลได้รับมาจากการในสังคม
ได้ผ่านการอบรมมาแล้ว การแสดงออกของอีโก้นั้นยึดหลักของเหตุผล ( reality
principle ) เป็นเหตุเป็นผลหาทางให้อิดได้ตอบสนองโดยไม่ขัดกับคุณธรรม
หรือค่านิยมของสังคม ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมดำเนินไปอย่างเหมาะสม และตัวสุดท้าย
คือ ซุปเปอร์อีโก้ ( super ego ) คือ ส่วนที่เป็นอุดมการณ์ ค่านิยมอุดมคติ
เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกของความรู้สึกชอบชั่วดีบทบาทของกลุ่มจิตวิเคราะห์นี้จะเน้นหนักไปทางด้านบุคลิกภาพ
การแนะแนว และมักเกี่ยวกับผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ
ใช้ประโยชน์ในจิตวิทยาคลีนิค การให้คำปรึกษา ศึกษาพวกอปติ
โดยจะศึกษาถึงสาเหตุของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากปกติของมนุษย์โดยทั่วไป
5. กลุ่มเกสตัสท์ ( Gestalt Psychology ) ผู้นำจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ
แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ กับคณะ คือ เคิร์ท คอฟกา และวูฟแกง โดห์แลอร์เกิดขึ้นในปี
ค.ศ. 1912 ที่ประเทศเยอรทมันนี ส่วนคำว่า เกสตัลท์ ( Gestalt )
นั้นเป็นคำในภาษาเยอรมันซึ่งตรงกับคำในภาษาอังฤกษ form หรือ figure
หรือ configuration หมายถึง แบบหรือรูปร่างรูปแบบ การรวมหน่วยย่อย
การรวมเป็นรูปร่าง หรือโครงรูปแห่งการรวมหน่วย
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ยืดถือเอาส่วนรวมทั้งหมดเป็นสำคัญ
หลักสำคัญที่เกี่ยวกับจิตวิทยาเกสตัลท์ ได้แก่ 1) การรับรู้ภาพและพื้น (
figure and ground ) การที่คนเรารับภาพต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คือรูปภาพทางเรขาคณิต เป็นรูปต่างๆขึ้นมาได้นั้น เพราะเส้นต่างๆตัดพื้น
ทำให้เกิดภาพขึ้นมามองเห็นเป็นกระสวน ( pattern ) ของรูปภาพต่างๆ
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างภาพและพื้น
บางครั้งเราจะมองเห็นภาพและพื้นสลับกัน
การเห็นเป็นแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับการมองหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล 2)
การรับรู้เป็นหมวดหมู่และเป็นกระสวน ( perceptal grouping and pattern )
กระสวนที่เรียบง่ายของเส้น ของจุด
ย่อยมีความสัมพันธ์กับจนเรามองเห็นเป็นกลุ่มเดียวกันได้ง่ายเนื่องจากโครงสร้างของภาพต่างๆ
มีอิทธิบังคับให้เราเห็นเป็นกระสวนไปตามที่จงใจจัดไว้ 3)
การพิสูจน์การรับรู้ ( perceptual hypothesis )
ภาพที่มองอาจจะกลับไปกลับมาก็ได้ ( reversible figure )
การเห็นภาพกลับได้เช่นนี้ชี้ว่าในเมื่อสิ่งเร้าเสนอภาพมาให้เลือกเป็นสองแง่เช่นนี้
เราก็ต้อง กำหนดไว้ว่าการมองของเรานั้น
เป็นสิ่งที่จะต้องพิสูจน์ให้ถ่องแท้เสียก่อนว่าเราจะรับรู้ความหมายอัน่ไหน
4) มายาแห่งการรับรู้ในการมองภาพ ( visual illusion )
บางครั้งเราเลือกรับรุ้ภาพผิดอันเป็นผลจากการพิสูจน์สมมุติฐานไม่ออก
เราจะพบภาพมายาทันที แบ่งออกเป็น 4.1
มายาแห่งการรับรู้อาจได้จากปัจจัยที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของขนาด
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆ ที่ห้อมล้อมอยู่ 4.2
มายาแห่งการรับรู้อาจเกิดขึ้นจากเอาภาพหนึ่งฉายเข้าไปในมิติที่สาม
ทำให้เกิดการตัดกันของเส้นตรง 4.3
มายาที่เกิดจากเส้นขนานที่ถูกอิทธิพลของระยะไกล เช่น
เราทราบว่าทางรถไฟนั้นขนาดเดียวกันตลอด
กระนั้นเราก็เห็นส่วนที่ใกล้กว้างกว่าส่วนที่ไกล เราเรียกว่า ponzo illusion
5) การหยั่งเห็น ( insight )
กลุ่มนี้เชื่อว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการหยั่งเห็น
คนเราจะหยั่งเห็นได้ต้องอาศัยการมีประสบการณ์เป็นตัวช่วยในการรับรู้การนำหลักของจิตวิทยาเกสตัลท์มาใช้
จิตวิทยาเกสตัลท์เน้นเรื่องการรับรู้และการรับรู้
มีการนำหลักมาใช้ดังนี้ 1. มนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสวงหาข้อยุติ
หากมีสถานการณ์
หรือปัญหาใดยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์มนุษย์จะมุ่งความสนใจจนกว่าจะได้รับคำตอบในเรื่องนั้นอย่างบูรณ์
2. มนุษย์มุ่งสนองความต้องการในปัจจุบันให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
แต่ละคนจะรับรู้ต่างๆ ตามความต้องการในขณะนั้นของตน เช่น วัตถุทรงบกลม
สำหรับที่กำลังหิวอาจเห็นเป็นลูกแอปเปิ้ล
ส่วนเด็กที่กำลังอยากเล่นจะเห็นเป็นฟุตบอลก็ได้ 3.
พฤติกรรมของมนุษย์เป็นหน่วยรวม ที่มีความสำคัญมากกว่าพฤติกรรมย่อยหลายๆ
อันมารวมกัน เช่น การฟังดนตรี
เป็นกระบวนการที่เกิดจากการรวมเสียงตัวโน้ตแต่ละตัวรวมกันเป็นทำนองเพลง
4. พฤติกรรมของมนุษย์จะเป็นที่เข้าใจและมีความหมาย
เมื่อทราบถึงที่มาของพฤติกรรมนั้นเช่น เด็กที่ถูกพ่อแม่เฆี่ยนตีเสมอ
เมื่อเห็นครูเดินถือไม้บรรทัดเข้ามาหาก็อาจคิดว่าครูกำลังจะเขามาโทษตัวเอง
5. ประสบการณ์ที่มนุษย์ได้รับเป็นผลจากหลักการภาพและพื้น
ถ้าเราให้ความสนใจต่อสิ่งใดในขณะนั้น สิ่งนั้นเป็นภาพและสิ่งอื่นจะเป็นพื้น
เช่น ในขณะที่เราดูภาพวาดสีและรูปทรงถือเป็นภาพจะเปลี่ยนเป็นพื้น
จะเห็นได้ว่าจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์นี้เป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ
และสามารถใช้ได้ผลดีกับปัญหาต่างๆ หลายด้าน เช่น การบรรลุสัจการแห่งตน
การาพัฒนาสภาพจิต การสื่อสารระหว่างบุคคล การตัดสินใจแก้ปัญหา
การพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์
6. กลุ่มมนุษย์นิยม ( Humaniam )
ผู้นำกลุ่มนี้ คือ คาร์ โรเจอร์ ( Carl R.
Rogers ) และ อับราฮัม มาสโลว์ ( Abraham H. Maslow ) มีแนวคิดดังนี้ ( กันยา
สุวรรณแสง .2540 ) 1)เชื่อว่ามนุษย์ทีจิตใจ มีความรู้สึก มีความรัก
ต้องการความอบอุ่น ต้องการความเข้าใจและมีความสามารถเฉพาะตัว 2)
เชื่อว่ามนุษย์พยายามที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองอื่นและและยอมรับในความสามารถของตนเอง
3)
มีความเชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนต่างก็เข้าใจผู้อื่นและยอมรับตนเองอยู่แล้ว
ต่างก็มุ่งสร้างความเป็นที่สมบูรณ์ให้แก่ตนเอง 4)
มนุษย์ควรมีอิสระที่จะเลือกกระทำ เลือกประสบการณ์ให้แก่ตนเอง 5)
มีความเห็นว่าวิธีการค้นคว้า และ แสวงหาความรู้หรือข้อเท็จจริงต่างๆ นั้น
เป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญกว่าตัวความรู้หรือข้อเท็จจริง
เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวความรู้จึงไม่คงที่ตายตัว
ดังนั้นที่สำคัญก็วิธีการแสวงหาความรู้
กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์มีแต่สิ่งที่ดีงาม ทุกคนอยากทำความดี
จะเน้นคุณค่าของความเป็นเพราะมนุษย์มีความเป็นอิสระในการคิดการตัดสินใจและมีความรับชอบด้วยกันทุกคน
7. มนุษย์ตามหลักพุธทศาสนา
จิตวิทยาตามแนวพุทธศาสนานี้ กล่าวว่ามนุษย์ประกอบด้วยกาย ( รูปขันธ์ )
และจิต ( นามขันธ์ ) ขันธ์ แปลว่า หนวด หมู่ กอง
ซึ่งมนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ห้า หรือเบญจขันธ์ คือ องค์ประกอบ 5 ส่วน
ที่ประชุมรวมกันเป็นหน่วยรวม ซึ่งสมมุติเรียกว่าบุคคล ( a human beig )
หรือตัวเรา ( a person ) นั่นเองขันธ์ 5 ( the five aggregateas ) ประกอบด้วย
( จำลอง ดิษยวณิช . 2541 ) 1) รูปขันธ์ ( corporeality ) คือ
กองรูปได้แก่ส่วนที่เป็นร่างกาย รวมทั้งพฤติกรรมอาการและคุณสมบัติต่างๆ
ของร่างกาย เช่น ผม เล็บ ฟัน หนังปอด ตับไต การยืน การเดิน การยิ้ม หัวเราะ
ร้องไห้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ เป็นสภาพทางกายจับต้องได้
มองเห็นได้อย่างชัดเจน 2) เวทนาขันธ์ ( feeling ) คือ
ความรู้สึกต่างๆที่เกิดจากการทำงานของรูป โดยผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า
เป็นความรู้สึกจากการเสวยอารมณ์ซึ่งความรู้สึกนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
สุขเวทนาคือความรู้สึกที่เป็นสุข ทุกขเวทนาคือความรู้สึกที่เป็นทุกข์
และอุเบกขาเวทนาคือความรู้สึกเฉยๆหรือไม่สุขไม่ทุกข์ 3) สัญญาขันธ์ (
perception ) คือ ความรู้สึกต่างๆที่เกิดจากการทำงานของรูป
โดยผ่านอวัยวะรับสัมผัสแล้วประทับอยู่ในความทรงจำ คือ การเห็น การได้ยิน
การได้กลิ่น การลิ้นรส การสัมผัสและการนึกคิด
สัญชานยังมีความคล้ายกันอย่างมากกับความรู้สึกจากการสัมผัสหรืออินทรีย์สัมผัส
( sensation ) และสัญชาน หรือการกำหมดรู้ ( Perception )
ในทางจิตวิทยาความรู้สึกจากการสัมผัสคือการเปลื่ยนรูปของสิ่งเร้าทีมากระทบอวัยวะรับสัมผัสไปเป็นกระแสประสาท
ที่ถูกส่งมาเป็นข้อมูลทางสรีรวิทยาให้เป็นข้อมูลทางจิตใจที่มากระทบอวัยวะรับสัมผัสไปเป็นกระแสประสาทที่ถูกส่งมา
เป็นข้อมูลทางสรีวิทยาให้เป็นข้อมูลทางจิตใจที่สามารถจะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
4) สังขารขันธ์ ( mental formation ) หรือความคิดคือกอ
สังขารเป็นส่วนของความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากรูปขันธ์
มาประกอบกันเป็นมโนกรรม แบ่งเป็น การคิดกุศล การคิดอกุศล การคิดอกุศล
และการคิดตามปกติวิสัยในเรื่องทั่วๆ ไป
ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาและใจที่เป็นบุญ บาป
หรือกลางๆ
ดังนั้นกิเลสที่แท้จริงก็คือตัวสังขารหรือกิเลสอยู่ที่สังขารนั่นเอง 5)
วิญญาณขันธ์ ( consciousness ) คือ กางวิญญาณ
ได้แก่ส่วนที่เป็นการรู้อารมณ์หรือสิ่งเร้า
อารมณ์ในทางพุทธศาสนาแตกต่างจากอารมณ์หรืออาเวค ( emotion ) ในทางจิตวิทยา
อารมณ์ทางพุทธศาสนาหมายถึง สิ่งเร้าภายนอก 6) ซึ่งได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส
สิ่งที่ถูกต้องกาย และสิ่งที่ใจนึกคิด ส่วนในทางจิตวิทยาอารมณ์ หรือ อาเวค
หมายถึง
ความสะเทียนใจที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายถูกยั่วยุโดยสถานการณ์บางอย่างจนเกิดการตอบสนองทางสรีวิทยาอย่างซับซ้อน
เช่น ความโกรธ ความกลัว ความสุข ความสะเทือนใจ เป็นต้น เวลาโกรธ
จะมีอาการหน้าแดง ใจสั่น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว
ซึ่งความจริงแล้วอารมณ์ในทางจิตวิทยาก็คือเวทนาในลักษณะหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้นแนวความคิดที่ว่ามนุษย์ประกอบด้วยกายและจิตว่าเป็นอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง
ยังคงถกเถียงกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
นักจิตวิทยาก็ยังคงศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ทั้งสองอย่าง โดยศึกษาทั้งพฤตกรรมนอก
(กาย) และพฤติกรรมภายใน (ใจ)
ก่อนหน้า
หน้าหลัก
ถัดไป |