|
จริศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน
170.4ก671จ
จริศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน
ผู้แต่ง: กีรติ บุญเจือ
ชื่อเรื่อง: จริศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน
สรุปเนื้อหา
ประวัติศาสตร์จริยะ
ประวัติศาสตร์จริยะมีหลายสาขาตามความต้องการต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายและจะพิจารณาเฉพาะประวัตืศาสตร์มาตรการของสังคม
ซึ่งผู้ไม่ได้เรียนจริยะศาสตร์ย่อมยึดถืออยู่ แม้ผู้ได้เรียนจริยะศาสตร์แล้วก็ยังอาจจะยึดถือต่อไป
แววแห่งมโนธรรม:ก่อนเป็นมนุษย์
มนุษย์เราเริ่มมีแววแห่งความสำนึกทางจริยะตั้งแต่เมื่อไร เป็นเรื่องสุดวิสัยที่จะค้นคว้าหาหลักฐานมายืนยันให้แน่ลงไปได้ในขณะนี้ จาก
การสังเกตุดูความเป็นอยู่ของสัตว์ชั้นสูง เราพบว่ามันดูเหมือนจะรู้จักปฏิบัติจริยธรรมบ้างแล้ว เช่น เราสังเกตุเห็นว่า มดเละผึ้งมีความเสียสละและ
ความสามัคคี อูฐมีความรอบคอบ นกรู้จักคิดถึงอนาคต ลิงรู้จักอยู่กันเป็นสังคม ช้างรู้จักเชื่อฟังผู้นำ ฯลฯ
ยึดประเพณี:ตั้งแต่เริ่มเป็นมนุษย์เป็นต้นมา
ระยะนี้มนุษย์มีความสำนึกทางจริยะธรรมพอสมควรแล้ว เห็นความสำคัญของการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามประเพณีที่รวบรวมไว้ในหมู่
คณะ เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติตามประเพณีเท่านั้นที่จะช่วยให้หมู่คระอยู่รอด การปกครองในหมู่คณะก็เป็นไปตามประเพณี ไม่ต้องมีกฏหมาย ผู้ปกครอง
ไม่ต้องตรากฏหมายออกใช้บังคับ เพราะทุกคนรู้ประเพณี และทุกคนรู้ว่าการละเมิดประเพณีจะต้องถูกลงโทษ และจะลงโทษมากน้อยแค่ไหนก็เป็นไปตาม
ประเพณี ผู้ปกครองจึงเป็นตัวแทนของหมู่คณะในการดำเนินการให้หมู่คณะปฏิบัติตามประเพณี
ยึดกฏหมาย:ตั้งแต่เริ่มมีกษัตริย์เป็นต้นมา
กฏหมายจะเกิดขึ้นเมื่อหมู่คณะมีสมาชิกมากขึ้น จนประเพณีไม่พอคุ้มกันเอารัดเอาเปรียบกันได้อย่างทั่วถึง เกิดการแบ่งกลุ่มย่อยในหมู่คณะ
มีการช่วยเหลือพรรคพวกกลุ่มย่อยของตน มีผู้ที่ใช้อิทธิพล ฯลฯ จนเกิดการละเมิดประเพณีโดยไม่ได้รับโทษมากขึ้นทุกที เกิดความหวาดระแวง และ
ความไม่แน่ใจในความปลอดภัยในหมู่คณะ หมู่คณะจึงพร้อมใจกันมอบหมายอำนาจให้คนดีมีความเสียสละและมีความสามรถ ให้จัวางระเบียบให้สังคมมี
ความสุขร่มเย็น เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งได้รับมอบอำนาจเหนือสมาชิกอื่นๆ อย่างเด็ดขาด
ยึดศาสตร์หรือเจ้าลัทธิ:ตั้งแต่เริ่มมีศาสตร์เป็นต้นมา
เมื่อกฏหมายออกมากขึ้น ความสลับซับซ้อนก็มากขึ้น จนในที่สุดเกิดความขัดแย้งขึ้นในกฏหมาย นอกจากนั้น กฏหมายระยะต่อๆมามักจะ
ส่อให้เห็นอย่างโจงแจ้งบ่อยๆว่า ผู้ออกกฏหมายแย้งกันเองเราควรปฏิบัติอย่างในกรณีต่างๆ และถ้าเราเห็นชัดเจนว่ากฏหมายไม่ยุติธรรมหรือไม่ถูกต้อง
เราควรปฏิบัติอย่างไร และที่ถูกนั้นคืออย่างไร ผู้ที่สามารถวางวิถ๊ชีวิตจนมีผู้นิยมนำมาสั่งสอนและปฏิบัติต่อๆ มาจะได้ชื่อว่าศาสดา หากคำสอนของศาสดา
ไม่ชัดเจน ก็จะมีลัทธิตีความต่างๆกัน รวมกันเป็นศาสนาหนึ่งๆ
ยึดเหตุผล:ตั้งแต่เริมมีระบบปรัชญาเป็นต้นมา
เมื่อมีการใช้ศาสนาอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้น นักคิดบางคนก้อดคิดไม่ได้ว่ามโนธรรมหรือความสำนึกคุณค่าความประพฤติ ควรจะมีพื้นฐานอยู่
บนอะไรบ้างหรือไม่ เพื่อจะใช้เป็นมาตรการสำหรับทุกคนได้ ยิ่งกว่านั้นในเมื่อศาสนาให้มโนธรรมต่างๆกัน เราอาจจะหาพื้นฐานร่วมสำหรับทุกศาสนาได้หรือไม่
ใช้วิจารณญาณ:ในปัจุบัน
อภิศาสตร์ เป็นศัพท์ใหม่ในวงการจริยศาสตร์ ประดิษฐ์ขึ้นใช้ในหมู่นักปรัชญาลัทธิภาษาวิเคราะห์ก่อน แล้วจึงค่อยๆแพร่หลายไปในหมู่
นักปราชญาลัทธิอื่นๆจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วๆไปว่า การศึกษาจรยศาสตร์ยังมีอีกระดับหนึ่ง เรียกว่า อภิจริยศาสตร์
ประโยชน์จากการเรียนรู้เรื่องนี้
การรู้ว่ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการแห่งความสำนึกทางจริยะแบ่งออกได้เป็น 5 ระยะ มิเพียงแต่ช่วยให้เรารู้ประวัติศาสตร์จริยะชัดเจนเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจเบื้องหลังจริยธรรมของมนุษย์ในปัจจุบันด้วยว่ามีความสำนึกทางจริยะเป็น 5 ประเภทเช่นกัน
เกณฑ์ทั้ง 5 นี้เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของมนุษย์ในสังคม และเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับร่วมกันในสังคม เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและยอมรับยึดถือ
กันโดยอัตโนมัติ จึงเรียกได้ว่าเป็นเกณฑ์สังคม ไม่มีใครเป็นศาสดา แต่เป็นเกณฑ์พื้นฐานที่แต่ละคนจะนำไปใช้เลือกคำสอน และตีคำสอนของศาสดาและ
นักปราชญ์ทั้งหลายอีกต่อหนึ่ง เช่น ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา อาจจะนับถือเพราะเป็นประเพณีหรือนับถือในฐานะที่เป็นกฏข้อบังคับ หรือนับถือโดยยึด
ถือพระพุทธเจ้าเป็นมที่พึ่งแต่พระองค์เดียว หรือนับถือเพราะพิสุจน์ได้ด้วยเหตุผลในระบอบปรัชญาของตนเอง หรืออาจจะนับถือเพราะได้วิเคราะห์
ความหมายของธรรมะจนให้เห็นความตื้นลึกหนาบางด้วยวิธีการปรัชญาวิเคราะห์แล้ว เกณฑ์ทั้ง 5 จึงล้วนเป็นเกณฑ์พื้นฐาน มีบทบาทเป็นมูลบทใน
จริยธรรมของมนุษย์แต่ละคน คำสอนของนักปราชญ์ทั้งหลายมีบทบาทเพียงแต่มาเสริมเท่านั้น
ที่มา :
กีรติ บุญเจือ. (2538).
จริศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน. กรุงเทพฯ:
ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 7-12.
|
|