ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
โครงการห้องสมุดโรงเรียนในฝัน

***ร่วมสร้างองค์ความรู้ สู่การศึกษาตลอดชีวิต วิทยพัฒนาเด็กไทยในท้องถิ่น***


000 หมวดเบ็ดเตล็ด
(Generalities)

100 หมวดปรัชญา
(Philosophy)

200 หมวดศาสนา
(Religion)

300 หมวดสังคมศาสตร์
(Social Sciences)

400 หมวดภาษาศาสตร์
(Language)

500 หมวดวิทยาศาสตร์
(Pure Sciences)

600 หมวดเทคโนโลยี
(Technology)

700 หมวดศิลปะ
(The Arts)

800 หมวดวรรณคดี
(Literature)

900 หมวดประวัติศาสตร์
(Geography & History)


Home

   

001.42 วิธีการวิจัย

วิธีการวิจัย

การทำวิจัย ผู้วิจัยจะต้องทำการวิจัยอย่างมีขั้นตอน และอย่างเป็นระบบ วิธีการวิจัย (Research methods) ที่นักสังคมวิทยาใช้ในการศึกษาเพื่อหาความรู้สามารถจำแนกออกได้เป็น 7 วิธีการดังนี้ (Popenoe 1993 : 39-48)

1. การสำรวจ (Surveys) การวิจัยสำรวจ เป็นการวิจัยที่นิยมใช้กันมากในวิธีเชิงปริมาณ โดยจะใช้กับการวิจัยที่ต้องการเก็บข้อมูลจากกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมาก เพื่อสอบถามความคิดเห็น ทัศนคติ ความรู้สึก และการกระทำ เป็นต้น โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.1กำหนดกลุ่มประชากร (Identifying the population) นักวิจัยจะต้องกำหนดว่า ใครคือกลุ่มประชากรที่จะใช้ในการศึกษา เช่น นักศึกษาชายของมหาวิทยาลัยบูรพา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นต้น

1.2 เลือกกลุ่มตัวอย่าง (Selecting a sample) กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรที่เลือกให้เป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรทั้งหมดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ดังนั้นในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง จะต้องเลือกประชากรที่ใกล้เคียงและเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชากรทั้งหมดให้มากที่สุดถ้าเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริงของประชากรที่ศึกษาวิจัย หรือที่เรียกว่าความคาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่าง (Sampling error) ก็จะมีผลทำให้ผลการวิจัยออกมาไม่ถูกต้องด้วย ดังนั้นในการศึกษาวิจัยจะมีวิธีการเลือกลุ่มตัวอย่างดังนี้

-การสุ่มแบบธรรมดา (Random sampling) การสุ่มโดยวิธีนี้ เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างที่ใช้กันมากกลุ่มตัวอย่างมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกเท่าเทียมกัน เช่น เขียนชื่อกลุ่มตัวอย่างใส่ในกล่องแล้วจับฉลากขึ้นมา หรือใช้ตารางตัวเลขสุ่ม (Random table) เป็นต้น

-การสุ่มแบบเป็นระบบ (Systematic sampling) การสุ่มแบบนี้ นักวิจัยจะต้องมีรายการหรือรายชื่อกลุ่มประชากร แล้วเลือกว่าต้องการเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวนเท่าใดแล้วทำแซมปลิงแฟรกชั่น (Sampling fraction) จำนวนตัวอย่าง/จำนวนประชากร เช่น มีประชากร 1,000 คน ต้องการตัวอย่าง 500 คน S.F. = 2 เราก็เลือกประชากรทุกๆ อันดับที่ 2 เป็นต้น

-การสุ่มแบบช่วงชั้น (Stratified sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างที่เริ่มจากการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น แบ่งตามกลุ่มเพศ กลุ่มอายุ กลุ่มอาชีพ กลุ่มรายได้ เป็นต้นจากนั้นนักวิจัยก็สุ่มตัวอย่างจากแต่ละกลุ่มด้วยวิธีแบบธรรมดา หรือแบบระบบ

1.3การออกแบบเครื่องมือการวิจัย (Designing the research instrument) ในการวิจัยสำรวจนั้นมีวิธีสำหรับเก็บข้อมูลหลายชนิด เช่น แบบสอบถาม (Questionnaires) การสัมภาษณ์(Interviews) หรือแบบทดสอบ เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลสำหรับการสำรวจจะนิยมใช้แบบสอบถามเป็นหลัก โดยปกติแบบสอบถามจะมี 2 แบบ คือ

-คำถามปลายปิด (Closed response questions) จะเป็นคำถามที่นักวิจัยมีคำตอบให้เลือกไว้แล้ว โดยนักวิจัยจะกำหนดตัวเลือกที่สัมพันธ์กับคำถาม เตรียมไว้ให้ผู้ตอบเลือกข้อที่ตรงกับผู้ตอบต้องการ

-คำถามปลายเปิด (Open response questions) จะเป็นคำถามที่นักวิจัยเปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบได้อย่างอิสระ โดยท้ายคำถามจะเป็นที่ว่างให้ผู้ตอบเขียนตอบได้ตามต้องการ

1.4การบริหารเครื่องมือการวิจัย (Administering the research instrument) ในขั้นนี้นักวิจัยจะต้องทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ส่งจดหมาย หรือโทรศัพท์ไปเก็บข้อมูลตามแบบสอบถามหรือเครื่องมือที่สร้างไว้เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้

1.5การวิเคราะห์ข้อมูล (Analyzing the data) เป็นขั้นสุดท้ายของการวิจัยสำรวจ นักวิจัยจะนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจมาทำการวิเคราะห์ และแปรความหมายผลการวิจัย

2.การทดลอง (Experiments) การทดลองถือได้ว่าเป็นวิธีการวิจัยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ในทางสังคมวิทยานั้นได้มีการประยุกต์นำเอาวิธีการทดลองมาใช้ในการศึกษา พฤติกรรมความสัมพันธ์ของคนในสังคม ศึกษาบทบาทและการกระทำของคนในสังคมเช่นกัน ในการทดลองนั้นนักวิจัยจะทำการศึกษาหาความสัมพันธ์ของปัจจัยเหตุ (Cause) และผล (Effect) ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เพื่อทดสอบสมมติฐานหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว คือ ตัวแปรอิสระ (Independent variables) กับ ตัวแปรตาม (Dependent variables) รูปแบบของการทำการทดลองมีหลายรูปแบบการทดลองขึ้นอยู่กับวัถตุประสงค์ของนักวิจัยว่าจะใช้รูปแบบใด แต่วิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปหรือเป็นรูปแบบการทดลองพื้นฐาน (Basic Experimental Design) มีขั้นตอนดังนี้

2.1 แบ่งกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกันออกเป็น กลุ่มทดลอง (Experimental group)กับ กลุ่มควบคุม (Controlgroups)

2.2 เปรียบเทียบผลของการวัดค่าตัวแปรตาม (Measure dependent variable) ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม

2.3 ปรับหรือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของกลุ่มทดลอง

2.4เปรียบเทียบผลของการวัดค่าตัวแปรตามใหม่ (Remeasure dependent variable) ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม

3.การสังเกต (Observation) การเก็บข้อมูลโดยการสังเกต เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยาจะนิยมทำการเก็บข้อมูลด้วยการสังเกต เช่น ความเป็นอยู่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ต่าง ๆ การสังเกตแบบนี้เราเรียกว่า การสังเกตภาคสนาม (Field observation) แต่ในการทำวิจัยบางเรื่อง นักวิจัยสามารถนำเอาวิธีการสังเกตไปใช้ในห้องทดลองก็ได้ซึ่งเราเรียกว่า การสังเกตในห้องทดลอง (Laboratory observation) ในการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured observation) การสังเกตแบบนี้นักวิจัยจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะทำการศึกษาอะไรจากกลุ่มตัวอย่าง และมีการจดบันทึกการสังเกตตามแบบแผนที่นักวิจัยได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เช่น นักวิจัยอาจสร้างเป็นแบบบันทึกพฤติกรรม เหตุการณ์ และการกระทำต่าง ๆของกลุ่มตัวอย่าง กำหนดการบันทึกว่าเป็นระยะเวลาของเหตุการณ์ ความถี่ของการกระทำ รูปแบบของพฤติกรรมและความสัมพันธ์ โครงสร้างทางสังคม เมื่อนักวิจัยทำการสังเกต นักวิจัยจะสังเกตจะมุ่งไปยังกิจกรรมที่กำหนดไว้ในแบบบันทึกเป็นหลัก ดังนั้นการสังเกตแบบมีโครงสร้างจึงสามารถที่จะวัดการศึกษาเป็นเชิงปริมาณได้ และเหมาะกับการนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลในการทดลอง

1.2การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured observation) การสังเกตแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการวิจัยที่ใช้การพรรณนา (Descriptive) ในเรื่องที่ทำการวิจัย ในการทำการสังเกตนักวิจัยจะไม่ทำการจดบันทึกการสังเกตโดยทันที เพราะนักวิจัยต้องเข้าร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มตัวอย่าง ต้องการทำตัวให้เข้ากับธรรมชาติของสภาพสังคม และไม่ก่อให้เกิดความระแวงความสงสัยจากกลุ่มตัวอย่าง การจดบันทึกจะทำเมื่อมีโอกาสเหมาะสมหลังจากการสังเกต

ในกระบวนการสังเกต นักวิจัยอาจเลือกการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการการสังเกตแบบมีส่วนร่วม(Participant observation) กล่าวคือ เข้าไปร่วมทำกิจกรรมหรือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้ได้รายละเอียดมากที่สุด บางครั้งนักวิจัยจะต้องเข้าไปทำการสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยไม่เปิดเผย (Covert participant observation) สถานภาพของตน เพราะต้องการให้กลุ่มตัวอย่างแสดงพฤติกรรมหรือการกระทำที่เป็นธรรมชาติที่สุด โดยไม่เกิดความระแวงสงสัย การใช้วิธีดังกล่าวอาจต้องใช้เวลามาก เพราะการเข้าไปเป็นสมาชิกในสังคมใดสังคมหนึ่ง ต้องอาศัยทั้งเวลาและสถานการณ์กว่าจะได้รับการยอมรับอย่างสนิทใจ แต่บางครั้งนักวิจัยอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยการเปิดเผย (Overt participant observation) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลและรักษาความปลอดภัยของชีวิตก็เป็นได้เช่นกัน

การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Nonparticipant observation) ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นักวิจัยสามารถเลือกมาใช้ได้ นั่นก็คือ นักวิจัยจะทำการสังเกตอยู่ภายนอกการทำกิจกรรม และชีวิตประจำวันของกลุ่มตัวอย่าง การสังเกตแบบนี้นักวิจัยจะไม่ได้รายละเอียดอื่น ๆ ที่อยู่นอกช่วงเวลาที่ไปทำการสังเกต ซึ่งอาจเหมาะกับการวิจัยทดลอง ที่สามารถกำหนดช่วงเวลาในการสังเกตได้ การเลือกใช้การสังเกตแบบใดแบบหนึ่งนั้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่น เวลา งบประมาณ และวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล บางครั้งอาจต้องใช้หลายรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัย

4.การวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary analysis) เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่มีการเก็บบันทึกไว้แล้วทั้งในรูปของเอกสาร แฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือวัสดุอื่น ๆ ข้อมูลทุติยภูมิที่นำมาใช้ในการทำวิจัยส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ขณะทำการวิจัย ซึ่งมีหลายประเภทดังนี้

4.1ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ประวัติบุคคล ชุมชนและสังคม

4.2ข้อมูลสถิติรายปี เช่น อัตราการเกิดการตาย การย้ายถิ่น

4.3ข้อมูลเหตุการณ์ทางสังคม เช่น ข่าวการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

4.4ข้อมูลรายงานของหน่วยงาน เช่น รายงานการประชุม ผลการดำเนินงานของหน่วยงาน

4.5ข้อมูลสำมโนประชากรเช่น ข้อมูลเกี่ยวกับประชากร ได้แก่ อายุ ศาสนา รายได้ สถานภาพสมรส จำนวนบุตร จำนวนครัวเรือน ข้อมูลสำมโนประชากรจำเป็นข้อมูลที่มีระยะเวลาในการเก็บคือทุก ๆ 10 ปี ซึ่งแตกต่างกับข้อมูลสถิติรายปีที่มีการจดบันทึกทุกปี

ข้อมูลทุติยภูมิบางประเภทเป็นข้อมูลดิบ บางประเภทเป็นข้อมูลที่ทำการประมวลผลแล้ว การนำข้อมูลทุติยภูมิมาใช้ทำการวิจัย นักวิจัยจะต้องทำการแปลรูปข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่นักวิจัยสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ได้ง่าย แม้ว่าการใช้ข้อมูลทุติยภูมิจะทำให้นักวิจัยประหยัดงบประมาณและเวลาได้เป็นอย่างดี แต่การใช้ข้อมูลทุติยภูมิบางครั้งก็จำกัดขอบเขตของการทำวิจัย นั่นก็คือนักวิจัยอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดข้อมูลบางตัวทำให้การวิเคราะห์ไม่สมบูรณ์ หรือนักวิจัยอาจต้องทำการศึกษาข้อมูลก่อนทำการ

กำหนดปัญหาการวิจัยและตั้งสมมุติฐาน หลังจากนั้นจึงทำการกำหนดปัญหาและตั้งสมมุติฐานตามข้อมูลที่มีอยู่ ดังนั้นในการทำวิจัยอาจจะใช้ข้อมูลทุติยภูมิประกอบกับการเก็บข้อมูลด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป ก็สามารถทำให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามที่นักวิจัยต้องการ

5.การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) เป็นการวิเคราะห์ที่นิยมใช้เกี่ยวกับสื่อสารมวลชล ในการทำการวิเคราะห์เนื้อความนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของนักวิจัยว่าต้องการวิเคราะห์เรื่องอะไร เป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว หรือความรัก และเก็บรวบรวมข้อมูลจากสิ่งใด จากวารสาร หนังสือพิมพ์ การ์ดวันสำคัญ รายการวิทยุ หรือรายการโทรทัศน์ แล้วมาทำการวิเคราะห์ว่าแต่ละเรื่องให้ความสำคัญกับอะไร เช่น การวิเคราะห์เนื้อหาเรื่องการเมืองจากหนังสือพิมพ์พบว่า ส่วนใหญ่จะลงข่าวเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

6.การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Comparative analysis) การวิเคราะห์เปรียบเทียบอาจเป็นการวิจัยเปรียบเทียบข้ามเชื้อชาติ(Cross-national research) โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในประเทศต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็น 2 ประเทศหรือมากกว่า แล้วนำผลมาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบตัวแปรที่ทำการศึกษา หรืออาจใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบที่เรียกว่า การศึกษาระยะยาว (Longitudinal studies) โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเชื้อชาติเดียว แต่ทำการศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมในช่วงเวลาที่แตกต่างกันยาวนานหลายปี แต่การศึกษาแบบนี้ต้องใช้เวลาและงบประมาณมาก ดังนั้นนักวิจัยจึงใช้วิธีการศึกษาภาคตัดขวาง (Cross-sectional studies) แทน กล่าวคือ ทำการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างที่มีความแตกต่างกันในด้านอายุ การศึกษา เศรษฐกิจ ฯลฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน

7.การวิจัยซ้ำ (Replication) เป็นการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ในการทดสอบความถูกต้องของผลการวิจัยได้เป็นอย่างดี โดยการนำเอาผลการวิจัยในแต่ละครั้งมาทำการเปรียบเทียบว่าจะให้ผลการวิจัยแตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร การวิจัยซ้ำอาจเป็นการทำวิจัยซ้ำในเรื่องเดิมแต่ใช้ กลุ่มคน สถานที่ และเวลาต่างกันก็ได้

การวิจัยเป็นการค้นหาความรู้จากข้อสงสัยที่เกิดขึ้นโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการค้นหาคำตอบสามารถกระทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่จะนำมาใช้ตอบคำถาม ในการวิจัยเรื่องหนึ่งอาจใช้วิธีการวิจัยหลายวิธีก็ได้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด

ที่มา

วิธีการวิจัย. (2553). ค้นเมื่อ พฤศจิกายน 9, 2553, จาก

http://www.huso.buu.ac.th/cai/Sociology/225101/Lesson4/
%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%
B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2.htm

 


Copyright
All copyright rights in the Dewey Decimal Classification system are owned by OCLC. Dewey, Dewey Decimal Classification, DDC and WebDewey are registered trademarks of OCLC
Revised:March 2009


Send comments to Chumpot@hotmail.com