|
หน่วยที่ 3 แหล่งความรู้และระบบการจัดเก็บความรู้
ผศ.จินตนา เกษรบัวขาว
3.2 ระบบการจัดเก็บความรู้
ความรู้สามารถจัดเก็บไว้ได้ด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ หากพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บความรู้แล้วจะมีดังนี้
1) เพื่อรักษาความรู้ไว้มิให้สูญหาย หรือหลงลืมซึ่งถือได้ว่าความรู้เป็นสมบัติอันมีค่ายิ่งใน
กรณีผู้รู้นั้นทำการบันทึก หรือถ่ายทอดออกมาจากตัวเขาเอง เมื่อใดต้องการใช้ก็สามารถนำกลับมาทบทวนใช้ได้
2) เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย หมายถึง สื่อหรือวัสดุบนทึกความรู้สามารถทำได้จำนวนมาก
ส่งไปได้ไกล ๆ ทั่วไป และเก็บรักษาได้นานโดยไม่เปลี่ยนแปลง การทำให้มีจำนวนมากขึ้นไปปรากฏในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง หลายเวลาทำให้มีผู้ได้พบเห็นเรียนรู้ได้ ความรู้ก็ขยายวงมีที่อยู่กว้างขวางขึ้น และถูกใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
การจัดเก็บความรู้สามารถทำได้ 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ
1) ระบบที่จัดเก็บไว้ในตัวคน หมายถึง คนที่ได้รับความรู้มาจะโดยวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองจากธรรมชาติ หรือได้รับการบอกหรือสอนจากผู้อื่น หรือจากการได้อ่าน ฟัง ดูจากสื่อใด ๆ ก็ตาม ความรู้จะถูกจัดเก็บคงอยู่ในตัวคนโดยตรงในรูปของความทรงจำ (memory) และทักษะ (skills) ดังตัวอย่างเช่น การทรงจำพระธรรมวินัยของพระภิกษุในพุทธศาสนาตั้งแต่โบราณและการฝึกหัดปฏิบัติตามธรรมวินัยที่ได้รับการบอกสอนมาจากพระศาสดา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งแท้จริง
2) ระบบที่จัดเก็บไว้นอกตัวคน หมายถึงการถ่ายทอดออกมาจากตัวคนแล้วบันทึกไว้ในสื่อบันทึกชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาจจำแนกได้ดังนี้
(1) วัสดุบันทึกสำหรับอ่าน ได้แก่วัสดุที่บันทึกเป็นตัวอักษรและภาพหรือ
สัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้แก่หนังสือ (ตั้งแต่หนังสือที่เป็นตัวจารึก ตัวเขียนลายมือ และตัวพิมพ์) วารสาร สิ่งพิมพ์
(2) วัสดุบันทึกสำหรับดู หมายถึง วัสดุบันทึกที่เป็นรูปภาพ และเครื่องหมาย
หรือสัญลักษณ์ที่ไม่มีตัวหนังสือ หรือบางครั้งอาจมีตัวหนังสือกำกับอธิบายด้วยก็ได้ การดูภาพทำให้เกิดความรู้ได้ บางกรณีดีกว่าอ่านจากตัวหนังสือ แต่หากมีทั้งภาพ (ทั้งภาพวาด ภาพถ่ายหรือ ภาพจำลองเลียนแบบใด ๆ ก็ตาม) และตัวหนังสือจะทำให้ได้ความรู้ความเข้าใจชัดเจนลึกซึ้งยิ่งขึ้น
(3) วัสดุบันทึกสำหรับฟัง หมายถึง วัสดุที่บันทึกเสียงต่าง ๆ ทั้งเสียงธรรมชาติและเสียงประดิษฐ์จากเครื่องมือต่าง ๆ
(4) วัสดุบันทึกสำหรับหลายสัมผัส หมายถึง วัสดุที่บันทึกทั้งอักษรภาษา ภาพ เสียง รวมทั้งการเคลื่อนไหวของภาพผสมไว้ด้วยกันเหมือนจริง ซึ่งการบันทึกไว้จะเป็นระบบแผ่นฟิล์ม หรือแถบสัญญาณวิดีทัศน์ หรือสัญญาณดิจิตอลยุคใหม่ก็ได้ วัสดุบันทึกประเภทนี้ช่วย ให้เกิดความรู้ความเข้าใจแก่คนได้มาก สะดวกและรวดเร็วเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน
(5) วัสดุตัวอย่างของจริงเพื่อการสัมผัสและของจำลอง หมายถึง ของจริงบางอย่างที่เลือกมาไว้ใช้เพื่อให้ความรู้แก่คนโดยเลือกเอามาจากของจริง บางส่วน เช่น ตัวอย่างไม้ ตัวอย่างหิน แร่ ตัวอย่างพืช เป็นต้น และบางโอกาสไม่สามารถใช้หรือหาของจริงมาแสวงให้ดูได้ เนื่องจากมีลักษณะปกติไม่เหมาะสม ก็ใช้ทำเป็นของจำลองขึ้น เช่น ลูกโลก หุ่นจำลอง อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของคน เป็นต้น
หากพิจารณาจากวิธีการค้นคืนความรู้แล้วจะพบว่าระบบการจัดเก็บมี 2 ระบบ คือ
1) ระบบการจัดเก็บที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยจัดการ ระบบหรือวิธีนี้คือ การเขียน หรือวาดหรือพิมพ์ ให้เป็นอักษรภาพต่าง ๆ สัญลักษณ์ หรือรูปรอยใด ๆ ที่มีความหมายเมื่อมนุษย์ได้มองเห็นแล้วสามารถอ่านหรือเข้าใจความหมายได้โดยตรง เพียงต้องการทักษะการเรียนอ่านหรือการรู้ภาษา หรือความหมายของสัญลักษณ์ หรือตัวอักษรภาษาเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจออกมาได้
2) ระบบการจัดเก็บที่ต้องอาศัยเครื่องมือช่วยจัดการคือ ระบบที่ต้องอาศัยเครื่องมือ
หรืออุปกรณ์เฉพาะทางทำการจัดเก็บ (record) และเมื่อเวลาจะค้นคืนความรู้หรือข้อมูลเหล่านั้นต้องใช้เครื่องมือค้นคืน (retrieve) ออกมา ซึ่งจะได้แก่พวกโสตทัศนวัสดุ เช่น เทปบันทึกเสียง สไลด์ วิดีทัศน์ รวมทั้งเครื่องมือสมัยใหม่ คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นทำการบันทึก และแสดงคืนในรูปต่าง ๆ มากมายด้วย
ระบบการบันทึกความรู้ด้วยวิธีการเก็บลงวัสดุบันทึกนอกตัวคนนี้ ความรู้จะถูก
บันทึกไว้หลากหลาย และกระจัดกระจายมาก เกิดปัญหาหรือความไม่สะดวกในการสืบค้นกลับมาใช้ภายหลัง จึงมีการเก็บรวบรวมวัสดุบันทึกหรือทรัพยากรสารสนเทศเหล่านี้ มาไว้ในสถานที่เดียวกันให้มาก ๆ และมีหลากหลายแบบเพื่อสะดวกในการค้นหาและนำมาใช้ แต่การมีวัสดุจำนวนมากและหลากหลายประเภทต้องการกรรมวิธีในการใช้หรือการค้นคืน (retrieving) หลายอย่างแตกต่างกันทั้งยังต้องใช้เครื่องมือแตกต่างกันอีกด้วย จึงทำให้เกิดการคิดค้นและพัฒนาระบบการจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศเหล่านี้ขึ้นใช้ในแหล่งรวบรวมสารสนเทศต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นและมีพัฒนาการ มานานแล้วทั่วโลก จนถึงปัจจุบันจึงมีระบบการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศเพื่อความรู้มากมายหลายระบบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) ระบบที่มีการคิดขึ้นและนิยมใช้ในห้องสมุดต่าง ๆ มีระบบใหญ่เป็นที่รู้จักทั่วโลกดังนี้
(1) ระบบรัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress หรือ L.C) เป็นระบบที่
บรรณารักษ์ห้องสมุดชาวอเมริกัน ชื่อ Herbert Putnum คิดริเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 โดยใช้เพื่อการจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศ ณ ห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน ระบบนี้ใช้ตัวอักษร A-Z เป็นเครื่องหมายหลักและใช้ตัวเลขเข้ามาผสม แบ่งหมวดหมู่หนังสือตามเนื้อหาในเล่มออกเป็นหมวดต่าง ๆ ชั้นแรกจะแบ่งเป็นหมวดใหญ่และแต่ละหมวดใหญ่ จะแบ่งเป็นความรู้หมวดย่อย ๆ ลงไปอีกโดยลำดับหลักเกณฑ์และวิธีการเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมาก เพราะต้องใช้กับการจัดหมวดหมู่หนังสือและทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ หลายล้านชิ้น มีเอกสารเป็นคู่มือกำหนดสัญลักษณ์หลักเกณฑ์และวิธีการไว้อย่างชัดเจน ผู้ที่จะนำเอาระบบนี้มาใช้จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศได้ต้องผ่านการเรียนและฝึกอบรมอย่างมากก่อน
(2) ระบบทศนิยม (Dewey Decimal Classification หรือ D.C) เป็นระบบการจัดเก็บ
และค้นคืนสารสนเทศที่คิดริเริ่มโดยบรรณารักษ์ห้องสมุดชาวอเมริกัน ชื่อ Melvil Dewey ในปี ค.ศ.1876 โดยได้คิดขึ้นใช้ที่ห้องสมุดวิทยาลัยแอมเฮิร์สก่อน ระบบนี้ใช้ตัวเลขอารบิค 0-9 และจุดทศนิยมเป็นสัญลักษณ์หลักให้การกำหนดหมวดหมู่โดยได้แบ่งความรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ออกเป็น 10 หมวด ใหญ่ ๆ ก่อน และกำหนดให้เลขหลัก 3 ตัว (000-900) เป็นสัญลักษณ์หมวดหลักและแต่ละหมวดหลักได้ถูกแบ่งแยกเป็นหมู่ย่อย ๆ ลงไปในหมวดละ 10 หมู่ เท่า ๆ กันมีหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดเลขประจำหมวดหมู่เป็นการเฉพาะ ซึ่งสามารถแบ่งหมวดหมู่ความรู้หรือทรัพยากรสารสนเทศได้โดยไม่มีข้อจำกัด จึงมีเอกสารคู่มือเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการในรายละเอียดมากเช่นกัน ผู้ที่จะใช้ระบบการจัดหมวดหมู่ระบบนี้มาใช้ต้องผ่านการศึกษาและฝึกอบรมมากเช่นกัน
(3) ระบบโคลอน (Colon Classification) เป็นระบบการจัดหมวดหมู่ทรัพยากร
สารสนเทศที่คิดริเริ่มขึ้นใช้โดย Dr. R.S. Rangnathan ชาวอินเดียตั้งแต่ ค.ศ.1924 ระบบนี้ใช้สัญลักษณ์และเครื่องหมายต่าง ๆ หลายอย่างผสมกันเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ประจำหมวดหมู่ทรัพยากรสารสนเทศแต่เป็นระบบที่มีความยุ่งยากและต้องทำความเข้าใจเครื่องหมายต่าง ๆ มาก ระบบนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม และเป็นที่รู้จักทั่วโลกมากนักมีใช้อยู่แต่ในประเทศอินเดียเป็น ส่วนใหญ่
(4) ระบบ U. D.C. (Universal Decimal Classification) เป็นระบบที่นำเอาระบบ D.C.
มาพัฒนาต่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้นเนื่องจากระบบ D.C. ใช้ตัวเลขอารบิคเป็นหลักในการกำหนดสัญลักษณ์ประจำหมวดหมู่ ซึ่งประเทศทั่วโลกเข้าใจง่าย แต่การแบ่งเนื้อหาความรู้ยังไม่เกิดความสมดุลและครอบคลุมสาระความรู้ในโลกจึงมีการพัฒนาระบบนี้ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก
นอกจากระบบใหญ่ ๆ ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและนิยมใช้ในห้องสมุดทั่วโลกดังได้
กล่าวมาแล้วยังมีระบบการจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศที่ห้องสมุดต่าง ๆ คิดสร้างขึ้นใช้เอง โดยเฉพาะก็มีอีกมากซึ่งจะสามารถสนองวัตถุประสงค์การจัดเก็บได้ดีกว่าการทำระบบใหญ่แบบกลาง ๆ นี้ไปใช้ โดยเฉพาะปัจจุบันใช้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปช่วยจัดการทำให้เกิดเป็นฐานข้อมูลมากมาย ทั้งยังเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย (network) กว้างขวางอีกด้วย
2) ระบบที่คิดขึ้นและใช้จัดเก็บความรู้ในพิพิธภัณฑ์ (museums)
ในพิพิธภัณฑ์ทั่วไปจะจัดเก็บสิ่งที่เป็นวัตถุ (objects) ที่เป็นของจริงเท่า ๆ ที่อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์โดยตรงแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ อาจเป็นชิ้นส่วนซาก หรือเศษ ไม่สมบูรณ์ของวัตถุก็ได้แต่เป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นผลงานจากความรู้และความสามารถของมนุษย์ในอดีต จึงเป็นหลักฐานที่มีคุณค่าต่อการเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้จากและเรียนรู้ต่อเติมเพิ่มขึ้นทั้งยังสามารถทำให้เข้าใจคนในอดีตได้ดีขึ้นอีกด้วย ระบบและวิธีการจัดเก็บเพื่อรักษาวัตถุของพิพิธภัณฑ์จึงมีสถานที่จัดเก็บ 2 แบบ ดังนี้
(1) จัดเก็บโดยดูแลรักษาไว้ในสถานที่จริงที่ค้นพบ เพื่อรักษาร่องรอยและสภาพไว้ให้
สมบูรณ์ที่สุดคอยดูแลรักษามิให้มีการชำรุด บุบสลาย หรือสูญหายเสื่อมสภาพไปจากเดิม ตัวอย่างเช่นการรักษาหลุม ขุดค้นโครงกระดูกสมัยโบราณ การรักษาภาพแกะสลัก หรือจิตรกรรมฝาผนัง เป็นต้น
(2) เก็บรวบรวมวัตถุมารักษาและจัดแสดง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการเก็บรักษาอย่างถาวร
หรือค่อนข้างถาวร โดยไม่ได้อยู่ในที่เดิมที่ถูกค้นพบ ทั้งนี้ เนื่องจากได้พิจารณาเห็นว่าปล่อยหรือ ให้อยู่ในที่เดิมจะไม่สามารถรักษาไว้ได้หรือได้ประโยชน์จากการศึกษาหาความรู้ได้คุ้มค่าและ ไม่สะดวก จึงนำมารวมไว้ในอาคารหรือที่ใดที่หนึ่ง แล้วจัดแสดงพร้อมทั้งดูแลรักษาไว้ไม่ให้เสียหายด้วย เช่นการรักษาเครื่องมือเครื่องใช้โบราณ ได้แก่ ขวานหิน กำไล สำริด หม้อดินเผา หรือรูปเคารพต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูป เทวรูปต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศในพิพิธภัณฑ์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึง
ข้อมูลสารสนเทศ เพื่อความรู้จากโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์แล้วระบบการจัดเก็บจะทำเป็น 2 แบบ คือ
(1) การจัดทำข้อมูลสารสนเทศไว้กับตัววัตถุที่แสดง คือการนำวัตถุโบราณมาจัดตั้ง
หรือแสดง ณ ที่ใดที่หนึ่งเหมาะสมตามขนาดและชนิดหรือประเภทของวัตถุที่จำแนกแล้ว และ ณ ที่นั้นก็จัดทำข้อมูลสารสนเทศเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นเสียงอธิยายให้ความรู้ความเข้าใจตามข้อเท็จจริงเป็นรายละเอียดอยู่ ณ ที่จัดแสดงวัตถุนั้นด้วย ซึ่งอาจมีข้อมูลสารสนเทศสั้น ๆ หรือละเอียดยาว ๆ ก็ได้
(2) การจัดทำข้อมูลสารสนเทศไว้ต่างหาก หมายถึง จัดทำข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับ
วัตถุโบราณนั้น ๆ ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นภาพ เป็นเสียงบันทึกไว้ในสื่อต่างหาก แยกไปจากตัววัตถุจริงโดยอาจพิมพ์รวมเป็นเล่มหนังสือ เป็นภาพวิดีทัศน์ หรือในแผ่นซีดี ซึ่งสามารถให้คนทั่วไปนำติดตัว หรือนำไปอ่าน ไปดู หรือศึกษาที่อื่นได้โดยไม่ต้องอยู่ในที่ ๆ วัตถุนั้นตั้งแสดง
โดยปกติแล้วพิพิธภัณฑ์ทั่ว ๆ ไปก็จะจัดทำระบบการจัดเก็บ และเผยแพร่ข้อมูล
สารสนเทศเพื่อความรู้ทั้งสองแบบรวมทั้งอาจจัดทำในลักษณะสื่อผสมเพื่อให้เกิดความซาบซึ้งเข้าถึงในความรู้ยิ่งขึ้นด้วยก็ได้
สำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศของวัตถุโบราณนั้นโดยทั่วไปจะมีระบบการ
จัดเก็บและจัดทำเป็น 5 ระบบ ใหญ่ ๆ คือ
(1) จัดระบบจำแนกตามชนิดและประเภทของวัตถุ หมายถึงการนำเอาวัตถุมาจัดกลุ่ม
จัดประเภท ตามลักษณะความแตกต่างอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น จำแนกตามความแตกต่างอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น จำแนกตามความแตกต่างของวัสดุ ได้แก่ ไม้ หิน แร่ โลหะ ดิน ผ้า เส้นใย เป็นต้น
(2) จัดระบบจำแนกตามชนิดของวัตถุที่ทำขึ้นตามวัตถุประสงค์ใช้งานหรือใช้ประโยชน์
เช่น วัตถุประเภท เคารพ บูชา หรือใช้เป็นนิติกรรม ได้แก่ พระพุทธรูป เทวรูป ตุ๊กตา เป็นต้น วัตถุประเภท เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า หม้อ เครื่องมือทำงานอาชีพ อาวุธ ยานพาหนะ เป็นต้น
(3) จัดระบบจำแนกตามระยะเวลาหรือสมัยอารุ เช่น วัตถุ หิน ขุดโลหะ ซึ่งเป็นยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ ยุคประวัติศาสตร์สมัยต่าง ๆ จนถึงยุคปัจจุบัน
(4) จัดระบบจำแนกตามสถานที่หรือท้องถิ่นที่เป็นที่กำเนิดหรือที่พบ เป็นวัตถุโบราณ
ในเอเชียวัตถุโบราณในตะวันออกกลาง ในอินเดีย หรือในยุโรป เป็นต้น
(5) จัดระบบจำแนกตามระบบสาขาวิชาหรือศาสตร์ คือการสรุปวิเคราะห์วัตถุโบราณนั้น ๆ
ว่าสามารถชี้ให้เห็นหรือให้ความรู้ในศาสตร์สาขาใด ก็จัดระบบและแสดงไว้ในสาขาของศาสตร์นั้น ๆ เช่น เครื่องมืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สมัยโบราณต่าง ๆ ผลงานศิลปะของคนโบราณยุคต่าง ๆ เป็นต้น
3) ระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศเพื่อความรู้ในหอจุดหมายเหตุ
หอจดหมายเหตุ (archives) เป็นแหล่งเก็บสะสมรวบรวมวัสดุที่มีข้อมูลสารสนเทศ
เพื่อความรู้ที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งที่ประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกมีคนทั่วไปเห็นความสำคัญของการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่โบราณ เมื่อนำมาศึกษาทำความเข้าใจทำให้เกิดความรู้มากมายเช่นกัน และนำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตได้วัสดุบันทึกเพื่อการใช้งานใน สมัยโบราณจึงถูกเก็บรวบรวมมาไว้เพื่อการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในสถานที่ดังกล่าวนี้เรียกว่า หอจดหมายเหตุ
เนื่องจากวัสดุหรือวัตถุนี้เก็บมาไว้ในหอจดหมายเหตุ มักจะเป็นบันทึก (records) เก่า ๆ ซึ่งจะได้แก่ แท่งหินหรือแผ่นหิน ผ้า หนังสัตว์ แผ่นดินเหนียว กระดาษโบราณ ใบพืชเป็นใบตาลหรือใบลานและกระดาษ หรือแผ่นฟิล์มถ่ายภาพหรือภาพถ่ายอัดจากฟิล์ม วัสดุเหล่านี้ให้เรื่องราวมากมาย การจัดเก็บจึงมีระบบการจัดเก็บ 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
(1) จัดเก็บแยกตามชนิดของวัตถุ คือการจำแนกวัตถุออกตามความแตกต่างว่า เป็นด้าย เป็นผ้า เป็นกระดาษ แผ่นฟิล์ม หรือวัตถุชนิดใดใด แล้วก็จัดเก็บตามชนิดของวัตถุนั้น ๆ วิธีจัดเก็บนี้จะช่วยให้การเก็บรักษาวัตถุไม่ให้ชำรุดเสียหายง่ายโดยเฉพาะจากการเสื่อมสภาพโดยธรรมชาติของวัตถุเอง แต่จะเป็นปัญหาในด้านการศึกษาเรื่องราวซึ่งจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเดียวกัน
(2) จัดเก็บตามเรื่องหรือสาระสำคัญในวัตถุนั้น คือ จดหมายเหตุนั้นเป็นการบันทึกเรื่องอะไรถ้าเป็นเรื่องเดียวกันหรือต่อเนื่องกันก็จัดเก็บไว้ด้วยกัน ซึ่งสะดวกและให้ประโยชน์ในการนำกลับมาศึกษาค้นคว้า แต่อาจไม่สะดวกในการจัดเก็บเพราะอาจมีวัตถุต่างชนิดกันแต่เรื่องเดียวกัน เช่นเป็นแผ่นกระดาษ แผ่นฟิล์มเรื่องเดียวกัน เป็นต้น
4) ระบบการจัดเก็บความรู้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology) เป็นเครื่องมือยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการจัดกระทำกับสารสนเทศเพื่อให้คนสามารถใช้สารสนเทศได้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ หรือมากกว่าที่เคยได้มา การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นใช้จึงทำให้เกิดระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ เพื่อความรู้และความบันเทิงใหม่ที่ได้เหมือนเดิมซึ่งมีลักษณะดังนี้
(1) การจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศเป็นการจัดเก็บด้วยระบบสัญญาณใช้กระบวนการแม่เหล็กและไฟฟ้าจัดเก็บข้อมูลซึ่งในแผนวัตถุซึ่งอาจเป็นโลหะหรือวัสดุสังเคราะห์ เรียกว่าเก็บด้วยภาษาเครื่องมือ (machine language) ข้อมูลสารสนเทศจึงอยู่ในแหล่งเก็บเล็ก ๆ หรือแหล่งรวมซึ่งจะทำหน้าที่จัดกระทำข้อมูลได้ด้วยมากมาย
(2) ระบบที่ใช้จัดกระทำข้อมูลต้องใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ซึ่งเรียกว่าคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือหลักในการจัดเก็บและการแสดงกลับคืนให้มาอยู่ในรูปเดิม
(3) ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกจัดเก็บไว้แล้วแยกส่วนออกมาเป็นอิสระหรือใส่กลับ เข้าระบบได้อีกเมื่อต้องการ และสามารถส่งผ่าน ต่อเชื่อม หรือผสมผสานกันได้ด้วยเป็นระบบเรียกว่าระบบเครือข่าย (information network)
(4) การเผยแพร่ส่งผ่านข้อมูลสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ จะใช้ระบบเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล (telecommunication) เข้ามามีส่วนร่วมทำให้ส่งผ่านสื่อสาร ถ่ายทอดจนแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและมากมายและทำได้ตลอดเวลาในทุกสถานที่ที่มีเครื่องเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ทำงานหรือติดตั้งอยู่
(5) ชื่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอิทธิพลมากเป็นที่รู้จักและนำมาแพร่หลายปัจจุบันซึ่งครอบคลุมเป็นเครือข่ายทั่วโลก เรียกว่าระบบอินเทอร์เน็ต (internet)
หน้าสารบัญ
ปรับปรุงล่าสุด วันที่ 28 พฤษภาคม 2551
รศ.ดร.จุมพจน์ วนิชกุล
chumpot@hotmail.com
|
|