ประเทศตุรกี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐตุรกี
Türkiye Cumhuriyeti (ตุรกี)
ธงชาติ
คำขวัญYurtta Sulh, Cihanda Sulh
("สันติภาพในบ้าน สันติภาพในโลก")
เพลงชาติİstiklâl Marşı
(มาร์ชเอกราช)
เมืองหลวง อังการา
41°1′N 28°57′E / 41.017°N 28.95°E / 41.017; 28.95
เมืองใหญ่สุด อิสตันบูล
ภาษาทางการ ภาษาตุรกี
การปกครอง สาธารณรัฐประชาธิปไตย
 -  ประธานาธิบดี อับดุลลาห์ กึล
 -  นายกรัฐมนตรี เรเจป ไตยิป เอร์โดอัน
การสร้างชาติ
 -  การตั้งรัฐสภา 23 เมษายน พ.ศ. 2463 
 -  เริ่มสงครามประกาศเอกราช 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2462 
 -  วันแห่งชัยชนะ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2465 
 -  ประกาศสาธารณรัฐ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2466 
พื้นที่
 -  รวม 780,580 ตร.กม. (36)
301,384 ตร.ไมล์ 
 -  แหล่งน้ำ (%) 1.3
ประชากร
 -  2548 (ประเมิน) 73,193,000 (17 1)
 -  2543 (สำมะโน) 67,844,903 
 -  ความหนาแน่น 90 คน/ตร.กม. (102 1)
230 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2549 (ประมาณ)
 -  รวม 610.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (19)
 -  ต่อหัว 8,385 ดอลลาร์สหรัฐ (75)
ดพม. (2007) 0.806 (สูง) (79)
สกุลเงิน ลีราใหม่ตุรกี2 (TRY)
เขตเวลา EET (UTC+2)
 -  (DST) CEST (UTC+3)
โดเมนบนสุด .tr
รหัสโทรศัพท์ 90

ตุรกี (อังกฤษ: Turkey; ตุรกี: Türkiye) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (อังกฤษ: Republic of Turkey; ตุรกี: Türkiye Cumhuriyeti) เป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในบริเวณเทรซบนคาบสมุทรบอลข่านในทวีปยุโรปใต้ และคาบสมุทรอานาโตเลียในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกอานาโตเลียและเทรซออกจากกันคือทะเลมาร์มาราและช่องแคบตุรกี (ได้แก่ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดะเนลส์) ซึ่งมักถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในหลายทวีป[1]

เนื้อหา

[แก้] ภูมิศาสตร์

[แก้] ภูมิประเทศ

ยอดเขาอารารัด ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศตุรกี

ตุรกีเป็นประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป[2] ตุรกีในฝั่งเอเชียซึ่งครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย นับเป็นพื้นที่ร้อยละ 97 ของประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสพอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดาเนลเลส (ซึ่งรวมกันเป็นพื้นน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ตุรกีในฝั่งยุโรปซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ[3] ดินแดนของตุรกีมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากกว่า 1,600 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 800 กิโลเมตร [4] ตุรกีมีพื้นที่ (รวมทะเลสาบ) ประมาณ 783,562 ตารางกิโลเมตร[5]

ตุรกีถูกล้อมรอบด้วยทะเลสามด้าน ได้แก่ทะเลอีเจียนทางตะวันตก ทะเลดำทางเหนือ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางใต้ นอกจากนี้ ยังมีทะเลมาร์มะราในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ[6]

ตุรกีฝั่งเอเชียที่มักเรียกว่าอานาโตเลียหรือเอเชียไมเนอร์ประกอบด้วยที่ราบสูงในตอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเทือกเขาทะเลดำตะวันออกและเกอรอลูทางตอนเหนือกับเทือกเขาเทารัสทางตอนใต้ และมีที่ราบแคบ ๆ บริเวณชายฝั่ง ทางตะวันออกของตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขาและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายเช่น แม่น้ำยูเฟรติส แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำอารัส นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบวัน และยอดเขาอารารัด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตุรกีที่ 5,165 เมตร[6]

สภาพภูมิประเทศที่หลากหลายนั้นเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปี และยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบันในรูปของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และภูเขาไฟระเบิดในบางครั้ง ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลสก็เกิดจากแนวแยกของเปลือกโลกที่วางตัวผ่านตุรกีทำให้เกิดทะเลดำขึ้น ทางตอนเหนือของประเทศมีแนวแยกแผ่นดินไหววางตัวในแนวตะวันตกไปยังตะวันออก ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2542[7]

[แก้] ภูมิอากาศ

ชายฝั่งด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน กล่าวคือหน้าร้อนอากาศร้อนและแห้งแล้ง ส่วนหน้าหนาวอากาศอบอุ่นและมีฝนตก เทือกเขาที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งเป็นตัวกั้นทำให้ภูมิอากาศตอนกลางของประเทศเป็นแบบภาคพื้นทวีป ซึ่งมีความแตกต่างระหว่างฤดูอย่างเห็นได้ชัด ฤดูหนาวบริเวณที่ราบสูงตอนกลางหนาวมาก อุณหภูมิลดลงถึง -30 ถึง -40 อาจมีหิมะปกคลุมนานถึง 4 เดือนต่อปี

ฝั่งตะวันตกมีอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวต่ำกว่า 1 ℃ ฤดูร้อนร้อนและแห้งแล้ง ในตอนกลางวันมีอุณหภูมิสูงกว่า 30℃ ปริมาณหยาดน้ำฟ้าเฉลี่ยต่อปีประมาณ 400 มิลลิเมตร ซึ่งปริมาณจริงแตกต่างกันไปตามระดับความสูง บริเวณที่แห้งแล้งที่สุดคือที่ราบกอนยาและที่ราบมาลาตยาซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยนต่อปีต่ำกว่า 300 มิลลิเมตร เดือนที่มีฝนมากที่สุดคือเดือนพฤษภาคม และเดือนที่แล้งที่สุดคือเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม[8]

[แก้] ประวัติศาสตร์

[แก้] ก่อนสมัยเติร์ก

ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์อานาโตเลีย
กำแพงของเมืองทรอย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดสงครามเมืองทรอย

คาบสมุทรอานาโตเลีย (หรือที่เรียกว่าเอเชียไมเนอร์) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตุรกี เป็นดินแดนที่มีการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องมายาวนานเพราะอยู่ในตำแหน่งที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานในตอนต้นของยุคหินใหม่ เช่น ชาตัลเฮอยืค (Çatalhöyük), ชาเยอนู (Çayönü), เนวาลี โจลี (Nevali Cori), ฮาจิลาร์ (Hacilar), เกอเบกลี เทเป (Göbekli Tepe) และ เมร์ซิน (Mersin) นับได้ว่าเป็นการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก[9] การตั้งถิ่นฐานในเมืองทรอยเริ่มต้นในยุคหินใหม่และต่อเนื่องไปถึงยุคเหล็ก ในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ ชาวอานาโตเลียใช้ภาษาอินโดยูโรเปียน, ภาษาเซมิติก และภาษาคาร์ตเวเลียน และยังมีภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา นักวิชาการบางคนเสนอว่าอานาโตเลียเป็นศูนย์กลางที่ภาษากลุ่มอินโดยูโรเปียนนั้นกระจากออกไป[10]

หอสมุดเซลซุสในเมืองเอเฟซุสสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 135

จักรวรรดิแห่งแรกของบริเวณอานาโตเลียคือจักรวรรดิของชาวฮิตไตต์ ซึ่งรุ่งเรืองขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18 ถึง 13 ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้น อาณาจักรฟรีเจียซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองกอร์ตีอุมมีอำนาจขึ้นมาแทนจนกระทั่งถูกทำลายโดยชาวคิมเมอเรียในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล[11] แต่ชาวคิมเมอเรียก็พ่ายแพ้ต่ออาณาจักรลีเดียซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองซาร์ดีสในเวลาต่อมา ลีเดียเป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยและเป็นผู้คิดค้นเหรียญกษาปณ์

ประมาณ 1200 ปีก่อนคริสตกาล ชายฝั่งตะวันตกของอานาโตเลียถูกครอบครองโดยชาวกรีกไอโอเลียนและอีโอเนียน ชาวเปอร์เซียแห่งจักรวรรดิอาเคเมนิดสามารถพิชิตพื้นที่ทั้งหมดได้ในศตวรรษที่ 6 ถึง 5 ก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นดินแดนแห่งนี้ก็ตกเป็นของอเล็กซานเดอร์มหาราช ในปี 334 ก่อนคริสตกาล[12] อานาโตเลียจึงถูกแบ่งออกเป็นดินแดนเฮลเลนิสติกขนาดเล็กหลายแห่ง (รวมทั้ง บิทูเนีย คัปปาโดเกีย แพร์กามอน และพอนตุส) ซึ่งดินแดนเหล่านี้ตกเป็นของจักรวรรดิโรมันในกลางศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล[13] ในปี ค.ศ. 324 จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เลือกเมืองไบแซนเทียมให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิโรมัน และตั้งชื่อให้ว่า โรมใหม่ (ภายหลังกลายเป็นคอนสแตนติโนเปิล และอิสตันบูล) หลังจากที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมลง เมืองนี้ก็กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์[14]

[แก้] สมัยเติร์กและจักรวรรดิออตโตมัน

ดูบทความหลักที่ จักรวรรดิออตโตมัน
อาณาจักรออตโตมันในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด (ประมาณ ค.ศ. 1680)
สุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ด (สุเหร่าสีน้ำเงิน) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรออตโตมัน

ตระกูลเซลจุกเป็นสาขาหนึ่งของโอกุสเติร์ก ซึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 อาศัยอยู่บริเวณตอนเหนือของทะเลแคสเปียนและทะเลอารัล[15] ในคริสต์วรรษที่ 10 พวกเซลจุกเริ่มอพยพออกจากบ้านเกิดมาทางตะวันออกของอานาโตเลีย ซึ่งในที่สุดกลายเป็นดินแดนแห่งใหม่ของเผ่าโอกุสเติร์ก หลังจากสงครามแมนซิเกิร์ตในปี 1071 ชัยชนะของเซลจุกในครั้งนี้ทำให้เกิดสุลต่านเซลจุกในอานาโตเลีย ซึ่งเป็นเสมือนอาณาจักรย่อยของอาณาจักรเซลจุกซึ่งปกครองบางส่วนของเอเชียกลาง อิหร่าน อานาโตเลีย และตะวันออกกลาง[16]

[แก้] การเมืองการปกครอง

ตุรกีปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐในปี พ.ศ. 2466 การเป็นรัฐโลกวิสัยเป็นส่วนสำคัญของการเมืองตุรกี ประมุขแห่งรัฐของตุรกีคือประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี ประธานาธิบดีคนปัจจุบ้นคืออับดุลลาห์ กืล ขึ้นดำรงตำแหน่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550 อำนาจบริหารของตุรกีใช้โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในขณะที่อำนาจนิติบัญญัติใช้โดยรัฐสภาของตุรกี

[แก้] การแบ่งเขตการปกครอง

ตุรกีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 81 จังหวัด (provinces - iller) ได้แก่

[แก้] ต่างประเทศ

[แก้] ความสัมพันธ์กับประเทศไทย

[แก้] ด้านการทูต

[แก้] การค้าและเศรษฐกิจ

[แก้] การศึกษาและวิชาการ

[แก้] กองทัพ

ดูบทความหลักที่ กองทัพตุรกี

[แก้] กองทัพบก

ดูบทความหลักที่ กองทัพบกตุรกี

[แก้] กองทัพอากาศ

ดูบทความหลักที่ กองทัพอากาศตุรกี

[แก้] กองทัพเรือ

ดูบทความหลักที่ กองทัพเรือตุรกี

[แก้] กองกำลังกึ่งทหาร

[แก้] เศรษฐกิจ

นับตั้งแต่การเป็นสาธารณรัฐ ตุรกีได้มีแนวทางเข้าหาการนิยมอำนาจรัฐ โดยมีการควบคุมจากรัฐบาลในด้านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน การค้าต่างประเทศ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังปี 2526 ตุรกีเริ่มมีการปฏิรูป นำโดยนายกรัฐมนตรีตุรกุต เออซัล ตั้งใจปรับจากเศรษฐกิจแบบอำนาจรัฐเป็นแบบของตลาดและภาคเอกชนมากขึ้น[17] การปฏิรูปนี้ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็สะดุดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤติทางการเงินในปี 2537 2542[18] และ 2544[19] เป็นผลให้มีการเจริญเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 2524 ถึง 2546 อยู่ที่ 4 เปอร์เซนต์[20] การขาดหายของการปฏิรูปเพิ่มเติม กอปรกับการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและคอร์รัปชัน ทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง ภาคการธนาคารที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคที่เพิ่มขึ้น[21]

นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2544 และการปฏิรูปที่เริ่มโดยรัฐมนตรีคลังในขณะนั้น เกมัล เดร์วึช อัตราเงินเฟ้อได้ลดลงเหลือเป็นเลขหลักเดียว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และการว่างงานลดลง ไอเอ็มเอฟพยากรณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2551 ของตุรกีไว้ที่ 6 เปอร์เซนต์[22] ตุรกีได้พยายามเปิดกว้างระบบตลาดมากขึ้นผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยลดการควบคุมจากรัฐบาลด้านการค้าต่างประเทศและการลงทุน และการแปรรูปอุตสาหกรรมของรัฐ การเปิดเสรีในหลายด้านไปสู่ภาคเอกชนและต่างประเทศได้ดำเนินต่อไปท่ามกลางการโต้เถียงทางการเมือง[23]

[แก้] ประชากร

ในปี พ.ศ. 2550 ตุรกีมีประชากร 70.5 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตร้อยละ 1.04 ต่อปี ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 92 คนตารางกิโลเมตร ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละจังหวัดแตกต่างกันตั้งแต่ 11 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในตุนเจลี) จนถึง 2,420 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในอิสตันบูล) ค่ามัธยฐานของอายุประชากรคือ 28.3 [24] จากข้อมูลของทางการในปี พ.ศ. 2548 อายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรทั้งหมดคือ 71.3 ปี[25]

ประชากรส่วนใหญ่ของตุรกีมีชื่อสายเตอร์กิช ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 ถึง 55 ล้านคน[26] ชนชาติอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ชาวเคิร์ด, เซอร์ซาสเซียน, ซาซา บอสเนีย, จอร์เจีย, อัลเบเนีย, โรมา (ยิปซี), อาหรับ และอีก 3 ชนชาติที่ได้รับการยอมรับจากทางการได้แก่พวกกรีก, อาร์เมเนีย และยิว ในบรรดาชนชาติเหล่านี้ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวเคิร์ด (ประมาณ 12.5 ล้านคน[26]) ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวตุรกีจำนวนมากอพยพไปยังยุโรปตะวันตก (โดยเฉพาะเยอรมนีตะวันตก) เนื่องจากความต้องการแรงงานในยุโรปเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดชุมชนชาวตุรกีนอกประเทศขึ้น แต่ในระยะหลังตุรกีกลับกลายเป็นจุดหมายของผู้อพยพจากประเทศข้างเคียง ซึ่งมีทั้งผู้อพยพที่ปักหลักอยู่ในประเทศตุรกี และผู้ที่ใช้ตุรกีเป็นทางผ่านต่อไปยังประเทศกลุ่มยุโรป[27] [28]


[แก้] การศึกษา

การศึกษาในประเทศตุรกีเป็นแบบภาคบังคับ และไม่เก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 6 ถึง 15 ปี อัตราการรู้หนังสือคือร้อยละ 95.3 ในผู้ชาย ร้อยละ 79.6 ในผู้หญิง และเฉลี่ยรวมร้อยละ 87.4 [29] การที่อัตราการรู้หนังสือของผู้หญิงต่ำกว่าชายป็นเพราะในเขตชนบทยังคงมีแนวความคิดแบบเก่าที่ไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ[30]

[แก้] ภาษา

ดูบทความหลักที่ ภาษาตุรกี

ประเทศตุรกีมีภาษาทางการเพียงภาษาเดียวคือภาษาตุรกี [31] ซึ่งภาษาตุรกียังเป็นภาษาที่พูดในหลายพื้นที่ในยุโรป เช่นไซปรัส ทางตอนใต้ของคอซอวอ มาเซโดเนีย และพื้นที่ในคาบสมุทรบอลข่านที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน เช่น แอลเบเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บัลแกเรีย กรีซ โรมาเนีย และเซอร์เบีย[32] นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ใช้ภาษาตุรกีมากกว่า 2 ล้านคนอาศัยอยู่ในเยอรมนี และมีกลุ่มผู้ใช้ภาษาตุรกีในประเทศออสเตรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร[33]

ศาสนา ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม (31,129,845 คน) ที่เหลือเป็นคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ (73,725 คน) คริสต์นิกายจอร์เจียนออร์ทอดอกซ์ (69,526 คน) คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (25,833 คน) คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (22,983 คน) และยิว (38,267 คน)

[แก้] วัฒนธรรม

รากฐานทางสังคมของตุรกีมีมีลักษณะเป็นครอบครัวแบบขยายที่มีความสัมพันธ์กันทั้งสายเลือดและแต่งงาน โดยยึดถือการสืบทอดทางฝ่ายชาย สมาชิกทุกคนยึดถือปฏิบัติตามหลักศาสนา ผู้ชายทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ในปัจจุบันมีความพยายามส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย โดยผู้หญิงสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและภาคเอกชน แต่ผู้ชายก็ยังมีความคิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าทั้งทางด้านร่างกายและอารมณ์

[แก้] กีฬา

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ Sabancı University (2005). "Geography of Turkey". Sabancı University. http://www.sabanciuniv.edu/socrates/ects/go.php?page=turkey_geography. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-13. 
  2. ^ Sabancı University (2005). "Geography of Turkey". Sabancı University. http://www.sabanciuniv.edu/socrates/ects/go.php?page=turkey_geography. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-13. 
  3. ^ Turkish Odyssey: Turkey
  4. ^ "Geography of Turkey". US Library of Congress. http://countrystudies.us/turkey/18.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-13. 
  5. ^ UN Demographic Yearbook, accessed April 16, 2007
  6. ^ 6.0 6.1 Turkish Ministry of Tourism (2005). "Geography of Turkey". Turkish Ministry of Tourism. http://www.turizm.net/turkey/info/geography.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-13. 
  7. ^ "Brief Seismic History of Turkey". University of South California, Department of Civil Engineering. http://www.usc.edu/dept/civil_eng/structural_lab/eq-rp/seismicity.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-26. 
  8. ^ "Climate of Turkey". Turkish State Meteorological Service. 2006. http://www.meteor.gov.tr/2006/english/eng-climateofturkey.aspx. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-8-14. 
  9. ^ Thissen, Laurens (2001-11-23). "Time trajectories for the Neolithic of Central Anatolia" (PDF). CANeW - Central Anatolian Neolithic e-Workshop. เข้าถึงเมื่อ 2006-12-21.
  10. ^ Balter, Michael (2004-02-27). "Search for the Indo-Europeans: Were Kurgan horsemen or Anatolian farmers responsible for creating and spreading the world's most far-flung language family?". Science 303 (ฉบับที่ 5662): 1323. 
  11. ^ The Metropolitan Museum of Art, New York (October 2000). "Anatolia and the Caucasus (Asia Minor), 2000 – 1000 B.C. in Timeline of Art History.". New York: The Metropolitan Museum of Art. http://www.metmuseum.org/toah/ht/03/waa/ht03waa.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-21. 
  12. ^ Hooker, Richard (1999-06-06). "Ancient Greece: The Persian Wars". Washington State University, WA, United States. http://www.wsu.edu/~dee/GREECE/PERSIAN.HTM. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-22. 
  13. ^ The Metropolitan Museum of Art, New York (October 2000). "Anatolia and the Caucasus (Asia Minor), 1000 B.C. - 1 A.D. in Timeline of Art History.". New York: The Metropolitan Museum of Art. http://www.metmuseum.org/toah/ht/04/waa/ht04waa.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-21. 
  14. ^ Daniel C. Waugh (2004). "Constantinople/Istanbul". University of Washington, Seattle, WA. http://depts.washington.edu/silkroad/cities/turkey/istanbul/istanbul.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-26. 
  15. ^ Wink, Andre (1990). Al Hind: The Making of the Indo Islamic World, Vol. 1, Early Medieval India and the Expansion of Islam, 7th-11th Centuries. Brill Academic Publishers. ISBN 90-04-09249-8. 
  16. ^ Mango, Cyril (2002). The Oxford History of Byzantium. Oxford University Press, USA. ISBN 0-19-814098-3. 
  17. ^ Nas, Tevfik F. (1992). Economics and Politics of Turkish Liberalization. Lehigh University Press. ISBN 0-934223-19-X.  (อังกฤษ)
  18. ^ "Turkish quake hits shaky economy", British Broadcasting Corporation, 1999-08-17. สืบค้นวันที่ 2006-12-12 (อังกฤษ)
  19. ^ "'Worst over' for Turkey", British Broadcasting Corporation, 2002-02-04. สืบค้นวันที่ 2006-12-12 (อังกฤษ)
  20. ^ World Bank (2005). "Turkey Labor Market Study" (PDF). World Bank. http://siteresources.worldbank.org/INTTURKEY/Resources/361616-1144320150009/Labor_C2.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-10.  (อังกฤษ)
  21. ^ OECD Reviews of Regulatory Reform - Turkey: crucial support for economic recovery : 2002. Organisation for Economic Co-operation and Development. 2002. ISBN 92-64-19808-3. http://books.google.com/books?vid=ISBN9264198083&id=ufYU_fR7mLgC&pg=PP1&lpg=PP1&ots=xxhe4iYB7B&dq=Turkey&sig=5WqjRxHbjn4ObFDJc_sQKuIB2sg#PPP1,M1.  (อังกฤษ)
  22. ^ IMF: World Economic Outlook Database, April 2008. Inflation, end of period consumer prices. Data for 2006, 2007 and 2008. (อังกฤษ)
  23. ^ Jorn Madslien. "Robust economy raises Turkey's hopes", British Broadcasting Corporation, 2006-11-02. สืบค้นวันที่ 2006-12-12 (อังกฤษ)
  24. ^ "2007 Census,population statistics in 2007". Turkish Statistical Institute. 2008. http://www.turkstat.gov.tr/PreHaberBultenleri.do?id=3894. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-08-15. 
  25. ^ "Life expectancy has increased in 2005 in Turkey", Hürriyet, 2006-12-03. สืบค้นวันที่ 2006-12-09
  26. ^ 26.0 26.1 "Türkiyedeki Kürtlerin Sayısı! (Number of Kurds in Turkey!)", Milliyet, 2008-06-06. สืบค้นวันที่ 2008-08-18 (ในTurkish)
  27. ^ Kirişçi, Kemal (November 2003). "Turkey: A Transformation from Emigration to Immigration". Center for European Studies, Bogaziçi University. http://www.migrationinformation.org/Feature/display.cfm?id=176. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-26. 
  28. ^ "http://www.economist.com/world/international/displaystory.cfm?story_id=11921822". The Economist. November 2008. http://www.migrationinformation.org/Feature/display.cfm?id=176. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-9-3. 
  29. ^ "Population and Development Indicators - Population and education". Turkish Statistical Institute. 2004-10-18. http://nkg.die.gov.tr/en/goster.asp?aile=3. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-11. 
  30. ^ Jonny Dymond. "Turkish girls in literacy battle", British Broadcasting Corporation, 2004-10-18. สืบค้นวันที่ 2006-12-11
  31. ^ "Turkish language" in The Columbia Encyclopedia, Sixth Edition | Date: 2008
  32. ^ "Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Report for language code:tur (Turkish)". 2005. http://www.ethnologue.com/show_language.asp?code=tur. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-18. Gordon, Raymond G., Jr.
  33. ^ "The European Turks: Gross Domestic Product, Working Population, Entrepreneurs and Household Data" (PDF). Turkish Industrialists' and Businessmen's Association. 2003. http://www.tusiad.org/haberler/basin/ab/9.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-01-06. 

[แก้] แหล่งอื่น

Commons:Category
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับ:
ประเทศตุรกี

แม่แบบ:Osmrelation-inline

เครื่องมือส่วนตัว

สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ
ป้ายบอกทาง
มีส่วนร่วม
พิมพ์/ส่งออก
เครื่องมือ
ภาษาอื่น