ประเทศญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประเทศญี่ปุ่น
日本国; 日本國 (ญี่ปุ่น)
ธงชาติ ตราแผ่นดิน
เพลงชาติคิมิงะโยะ
ตราสัญลักษณ์ของรัฐบาล:
Seal of the Office of the Prime Minister and the Government of Japan
พอโลเนีย (ญี่ปุ่น: 五七[の]桐 Go-Shichi no Kiri ?)
เมืองหลวง โตเกียว
35°41′N 139°46′E / 35.683°N 139.767°E / 35.683; 139.767
เมืองใหญ่สุด โตเกียว (12.58 ล้านคน) พ.ศ. 2548[1]
ภาษาทางการ ภาษาญี่ปุ่น
การปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
 -  จักรพรรดิ จักรพรรดิอะกิฮิโตะ
 -  นายกรัฐมนตรี โยะชิฮิโกะ โนะดะ
การสร้างชาติ
 -  วันก่อตั้งชาติ 11 กุมภาพันธ์ 117 ปีก่อนพุทธศักราช (เชิงสัญลักษณ์) 
 -  รธน. เมจิ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2433 
 -  รธน. ปัจจุบัน 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 
 -  สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก 28 เมษายน พ.ศ. 2495 
พื้นที่
 -  รวม 377,930 ตร.กม. (61)
145,883 ตร.ไมล์ 
 -  แหล่งน้ำ (%) 0.8%
ประชากร
 -  2008 (ประเมิน) 127,288,416[2] (10)
 -  ความหนาแน่น 337 คน/ตร.กม. (30)
873 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2007 (ประมาณ)
 -  รวม 4.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] (3)
 -  ต่อหัว 33,596 ดอลลาร์สหรัฐ[4] (23)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2007 (ประมาณ)
 -  รวม 4.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (2)
ดพม. (2554) 0.901[6] (สูง) (12)
สกุลเงิน เยน (¥) (JPY)
เขตเวลา JST (UTC+9)
 -  (DST) ไม่มี (UTC)
ระบบจราจร ซ้ายมือ
โดเมนบนสุด .jp
รหัสโทรศัพท์ 81

ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本 Nihon/Nippon นิฮง/นิปปง ?) มีชื่อทางการคือประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本国 Nihon-koku/Nippon-koku นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ ?) (จีนตัวเต็ม: 日本國; จีนตัวย่อ: 日本国) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอคอตสค์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย

ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก[7] หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน[8] เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน

สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490

ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมีจีดีพีสูงเป็นอันดับสามของโลกในปี พ.ศ. 2553[9] ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จี 8 โออีซีดี และเอเปค และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี

เนื้อหา

[แก้] ชื่อประเทศ

ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป

สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本)" ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13[10][11] ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน[12] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ[13]

ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ: Japan) ยาพัน (เยอรมัน: Japan) [14] ชาปง (ฝรั่งเศส: Japon) [15] ฮาปอง (สเปน: Japón) [16] รวมถึงคำว่าญี่ปุ่นในภาษาไทย น่าจะมาจาก ภาษาจีนฮกเกี้ยน หรือ แต้จิ๋ว ที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน) หรือ "ยิกปั่ง" (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า ยื่อเปิ่นกั๋ว (จีนตัวเต็ม: 日本国; พินอิน: rì bĕn guó) หรือย่อ ๆ ว่า ยื่อเปิ่น (จีนตัวเต็ม: 日本; พินอิน: rì bĕn)[17] ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี (เกาหลี: 일본;日本) [18] และภาษาเวียดนาม (เวียดนาม: Nhật Bản;日本) [19] จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง

[แก้] ประวัติศาสตร์

ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

[แก้] ยุคโบราณ

เครื่องปั้นดินเผายุคโจมง

สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า เมื่อประมาณ 35,000 ปีก่อนพุทธศักราช[20] หลังจากนั้นยุคโจมงก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนพุทธศักราช ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์[21] มีการพัฒนาวิธีการล่าสัตว์โดยใช้คันธนูและลูกธนู ตลอดจนมีการผลิตภาชนะเครื่องปั้นดินเผาใส่อาหารและเก็บรักษาอาหาร คำว่าโจมงในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าลายเชือกซึ่งมาจากลวดลายเชือกบนภาชนะในยุคนั้นที่ค้นพบในช่วงแรก

ยุคยะโยอิ เริ่มเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกข้าว การตีโลหะ ซึ่งได้รับความรู้มาจากผู้อพยพชาวจีนแผ่นดินใหญ่[22] การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น โฮ่วฮั่นชู (後漢書) ในปี 57 ก่อนคริสตกาล [23] ซึ่งเรียกชาวญี่ปุ่นว่า วะ (倭) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 อาณาจักรที่ทรงอำนาจมากที่สุดในญี่ปุ่นคือยะมะไทโคะกุ (邪馬台国) ปกครองโดยราชินีฮิมิโกะ ซึ่งเคยส่งคณะทูตไปยังประเทศจีนผ่านทางเกาหลีด้วย

[แก้] ยุคเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น

สุสานจักรพรรดิในสมัยยุคโคะฮุง

ยุคโคะฮุง ซึ่งตั้งชื่อตามสุสานที่นิยมสร้างขึ้นกันในยุคดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 จนถึง 12 เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการปกครองแบบราชวงศ์ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองนั้นอยู่บริเวณเขตคันไซ ในยุคนี้พระพุทธศาสนาได้เข้ามาจากคาบสมุทรเกาหลีสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น[24] แต่พระพุทธรูปและพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นหลังจากนั้นได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก[25] เจ้าชายโชโตะกุทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน ญี่ปุ่นจึงได้รับนวัตกรรมใหม่ ๆ จากแผ่นดินใหญ่มาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทรงตรารัฐธรรมนูญสิบเจ็ดมาตรา ซึ่งเป็นกฎหมายญี่ปุ่นฉบับแรกอีกด้วย[24] และในที่สุดพระพุทธศาสนาก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นตั้งแต่สมัยอะซึกะ[26]

ยุคนะระ (พ.ศ. 1253-1337) [27] เป็นยุคแรกที่มีการก่อตัวเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองอย่างมีระบบให้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยการนำระบอบการปกครองมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ศูนย์กลางการปกครองในขณะนั้นก็คือเฮโจเกียวหรือจังหวัดนะระในปัจจุบัน ในยุคนะระเริ่มพบการเขียนวรรณกรรมเช่นโคจิกิ (พ.ศ. 1255) และนิฮงโชะกิ (พ.ศ. 1263) [28] เมืองหลวงถูกย้ายไปที่นะงะโอกะเกียวเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และถูกย้ายอีกครั้งไปยังเฮอังเกียว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง

ระหว่าง พ.ศ. 1337 จนถึง พ.ศ. 1728 ซึ่งเป็นยุคเฮอังนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองเริ่มพัฒนาขึ้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดมากที่สุดคือ การประดิษฐ์ตัวอักษร ฮิระงะนะ ซึ่งทำให้เกิดวรรณกรรมที่แต่งโดยตัวอักษรนี้เป็นจำนวนมาก เช่นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ได้มีการแต่งนวนิยายเรื่องนิทานเกนจิ (源氏物語) ขึ้น ซึ่งเป็นนิยายที่บรรยายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การปกครองของตระกูลฟุจิวะระ และบทกลอนที่ถูกใช้เป็นเนื้อเพลงของเพลงชาติญี่ปุ่น คิมิงะโยะ ก็ถูกแต่งขึ้นในช่วงนี้เช่นเดียวกัน[29]

[แก้] ยุคศักดินา

ยุคศักดินาญี่ปุ่นเริ่มต้นจากการที่ผู้ปกครองทางการทหารเริ่มมีอำนาจขึ้น พ.ศ. 1728 หลังจากการพ่ายแพ้ของตระกูลไทระ มินะโมะโตะ โน โยริโตโมะ ได้แต่งตั้งตนเองเป็นโชกุน และสร้างรัฐบาลทหารในเมืองคะมะกุระ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคคะมะกุระซึ่งมีการปกครองแบบศักดินา แต่รัฐบาลคามากุระก็ไม่สามารถปกครองทั้งประเทศได้ เพราะพวกราชวงศ์ยังคงมีอำนาจอยู่ในเขตตะวันตก หลังจากการเสียชีวิตของโชกุนโยริโตโมะ ตระกูลโฮโจได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน รัฐบาลคะมะกุระสามารถต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลใน พ.ศ. 1817 และ พ.ศ. 1824 โดยได้รับความช่วยเหลือจากพายุกามิกาเซ่ซึ่งทำให้กองทัพมองโกลประสบความเสียหายอย่างมาก[30]

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคะมะกุระก็อ่อนแอลงจากสงครามครั้งนี้ จนในที่สุดต้องสูญเสียอำนาจให้แก่จักรพรรดิโกไดโกะ ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่ออาชิกางะ ทากาอุจิในเวลาต่อมาไม่นาน[31] อาชิกางะ ทากาอุจิย้ายรัฐบาลไปตั้งไว้ที่มุโรมะจิ จังหวัดเกียวโต จึงได้ชื่อว่ายุคมุโรมะจิ ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 อำนาจของโชกุนเริ่มเสื่อมลงและเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เพราะบรรดาเจ้าครองแคว้นต่างทำสู้รบเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสงครามที่เรียกว่ายุคเซงโงกุ[31]

ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 มีพ่อค้าและมิชชันนารีจากโปรตุเกสเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน)

สงครามดำรงอยู่หลายสิบปี จนโอะดะ โนะบุนะงะเอาชนะเจ้าครองแคว้นอื่นหลายคนโดยใช้เทคโนโลยีและอาวุธของยุโรปและเกือบจะรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วเมื่อเขาถูกลอบสังหารใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิผู้สืบทอดเจตนารมณ์ต่อมาสามารถปราบปรามบ้านเมืองให้สงบลงได้ใน พ.ศ. 2133 ฮิเดะโยะชิรุกรานคาบสมุทรเกาหลีถึง 2 ครั้ง[32] แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนเมื่อเขาเสียชีวิตลงใน พ.ศ. 2141 ญี่ปุ่นก็ถอนทัพ[33]

หลังจากฮิเดะโยะชิเสียชีวิต โทกุงะวะ อิเอะยะสึแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการให้แก่ลูกชายของฮิเดะโยะชิ โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะริ เพื่อที่จะได้อำนาจทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะสึเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการเซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 จึงขึ้นเป็นโชกุนใน พ.ศ. 2146 และก่อตั้งรัฐบาลใหม่ที่เมืองเอะโดะ ยุคเอะโดะจึงเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะได้ใช้วิธีหลายอย่าง เช่น บุเกโชฮัตโต เพื่อควบคุมไดเมียวทั้งหลาย ใน พ.ศ. 2182 รัฐบาลเริ่มนโยบายปิดประเทศและใช้นโยบายนี้อย่างไม่เข้มงวดนักต่อเนื่องถึงประมาณสองร้อยห้าสิบปี ในระหว่างนี้ ญี่ปุ่นศึกษาเทคโนโลยีตะวันตกผ่านการติดต่อกับชาวดัตช์ที่สามารถเข้ามาที่เกาะเดจิมะ (ในจังหวัดนะงะซะกิ) เท่านั้น[34] ความสงบสุขจากการปิดประเทศเป็นเวลานานทำให้ชนที่อยู่ใต้อำนาจปกครองอย่างเช่นชาวเมืองได้มีโอกาสที่จะประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาในทางของตนเอง ในยุคเอะโดะนี้ยังมีการเริ่มต้นการให้ศึกษาประชาชนเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย[35]

แต่ญี่ปุ่นก็ถูกกดดันจากประเทศตะวันตกให้เปิดประเทศอีกครั้ง ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2394 นาวาเอก (พิเศษ) แมทธิว เพอร์รี่ และเรือดำของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาบุกมาถึงญี่ปุ่นเพื่อบังคับให้เปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่น ๆ ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้ทำให้ญี่ปุ่นประสบปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เพราะการเปิดประเทศและให้สิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากไม่พอใจต่อรัฐบาลเอะโดะ และเกิดกระแสเรียกร้องให้คืนอำนาจอธิปไตยแก่องค์จักรพรรดิ (ซึ่งมักเรียกว่าการปฏิรูปเมจิ) [36] จนในที่สุดรัฐบาลเอะโดะก็หมดอำนาจลง

[แก้] ยุคใหม่

แผนที่จักรวรรดิญี่ปุ่น พ.ศ. 2485

ในยุคเมจิ รัฐบาลใหม่ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ย้ายฐานอำนาจขององค์จักรพรรดิมายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากเอโดะเป็นโตเกียว มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองตามแบบตะวันตก เช่นบังคับใช้รัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2443 และก่อตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยใช้ระบบสองสภา นอกจากนี้ จักรวรรดิญี่ปุ่นยังสนับสนุนการรับเอาวิทยาการจากประเทศตะวันตก[37]และทำให้มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความขัดแย้งทางทหารกับประเทศข้างเคียงเมื่อพยายามขยายอาณาเขต หลังจากที่ได้ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437-2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447-2448) ญี่ปุ่นก็ได้อำนาจปกครองไต้หวัน เกาหลี และตอนใต้ของเกาะซาคาลิน[38]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายไตรภาคี ผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตต่อไปอีก ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายขยายดินแดนต่อไปโดยการครอบครองแมนจูเรียใน พ.ศ. 2474 และเมื่อถูกนานาชาติประณามในการครอบครองดินแดนนี้ ญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในสองปีต่อมา[39] ในปี 1936 ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลกับนาซีเยอรมนี และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในปี 1941[40]

ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน[41] สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ

ใน พ.ศ. 2490 ญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นเรื่องประชาธิปไตยอิสระ การควบคุมญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกใน พ.ศ. 2499[42] และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 1956[43] หลังจากสงครามญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่การเติบโตก็หยุดในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2530 เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังฟองสบู่แตก[44] เศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปีมีทีท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ 26[45] แต่กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินใน พ.ศ. 2551[46]

[แก้] การเมืองการปกครอง

อาคารสภานิติบัญญัติแห่งญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว
ศาลสูงสุดของญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีรูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา พระจักรพรรดิไม่ทรงปกครองประเทศ พระองค์มีพระราชอำนาจเท่าที่รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นให้ไว้ พระจักรพรรดิมิได้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ แต่ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำในทางพิธีการ รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งประเทศและแห่งความสามัคคีของชนในรัฐ"[47] พระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน คือ จักรพรรดิอะกิฮิโตะ ส่วนรัชทายาทคือมกุฎราชกุมารนะรุฮิโตะ

อำนาจการปกครองส่วนใหญ่นั้นตกอยู่แก่นายกรัฐมนตรี และสมาชิกคนอื่น ๆ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่วนอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนชาวญี่ปุ่น[47]

องค์กรนิติบัญญัติของญี่ปุ่น คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (国会 Kokkai ?) ซึ่งใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (衆議院 Shugi-in ?) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และมนตรีสภา (参議院 Sangi-in ?) เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป[48] พรรคเสรีประชาธิปไตยเป็นพรรครัฐบาลมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคใน พ.ศ. 2498[49] จนในปี พ.ศ. 2552 พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่นชนะการเลือกตั้ง จึงทำให้พรรคเสรีประชาธิปไตยเสียตำแหน่งพรรครัฐบาลซึ่งครองมายาวนานกว่า 54 ปี[50]

สำหรับอำนาจบริหารนั้น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเลือกสมาชิกด้วยกันมาหนึ่งคนให้เป็น นายกรัฐมนตรี แล้วพระจักรพรรดิจึงทรงลงพระนามาภิไธยรับรองการแต่งตั้งนั้น ส่วนนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีและให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายโยะชิฮิโกะ โนะดะ

ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางประวัติศาสตร์จากกฎหมายของจีน และมีพัฒนาการเฉพาะตัวในยุคเอโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ (公事方御定書 Kujikata Osadamegaki ?) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ใน พ.ศ. 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง (民法 Minpō ?) โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน[51]

กฎหมายสูงสุดแห่งรัฐ คือ รัฐธรรมนูญ (憲法 Kenpō ?) ส่วนกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียกประมวลกฎหมายทั้งหก (六法 Roppō ?) มีสภาพเป็นประมวลกฎหมายที่สำคัญหกฉบับ บรรดากฎหมายแม่บทของญี่ปุ่นมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ตรา พระจักรพรรดิเป็นผู้ทรงประกาศใช้โดยต้องทรงประทับพระราชลัญจกรในประกาศด้วย ทั้งนี้ โดยนิตินัยแล้ว พระจักรพรรดิไม่มีพระราชอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย

ศาลญี่ปุ่นนั้นมีระบบเดียว คือ ศาลยุติธรรม แบ่งเป็นสามชั้นจากต่ำขึ้นไป ดังนี้ ศาลชั้นต้น ประกอบด้วย ศาลจังหวัด ศาลแขวง และศาลครอบครัว, ศาลอุทธรณ์ เรียก ศาลสูง, และศาลสูงสุด เรียก ศาลสูงสุด

[แก้] นโยบายต่างประเทศและการทหาร

ยะซุโอะ ฟุกุดะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช

ญี่ปุ่นรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและทางทหารกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก โดยมีความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นเสาหลักของนโยบายต่างประเทศ[52] ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติตั้งแต่ปี 1956 ได้เป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวม 9 ครั้ง[53] (ล่าสุดเมื่อปี 2005-2006) [54] และยังเป็นหนึ่งในกลุ่ม G4 ซึ่งมุ่งหวังจะเข้าเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกของ จี 8และเอเปค มีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก[53][55] นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) รายใหญ่ของโลก โดยบริจาค 7.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2007[56] จากการสำรวจของบีบีซีพบว่านอกจากประเทศจีนและเกาหลีใต้แล้ว ประเทศส่วนใหญ่มองอิทธิพลของญี่ปุ่นที่มีต่อโลกในเชิงบวก[57]

ญี่ปุ่นมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องสิทธิในดินแดนต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กับรัสเซียเรื่องเกาะคูริล กับเกาหลีใต้เรื่องหินลีอังคอร์ท (หรือทะเกะชิมะ ในภาษาญี่ปุ่น) กับจีนและไต้หวันเรื่องเกาะเซงกากุ[58] กับจีนเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบ ๆ โอะกิโนะโทะริชิมะ[59] เป็นต้น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังคงมีปัญหากับเกาหลีเหนือกรณีการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นและเรื่องการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องเกาะคูริล ในทางกฎหมายแล้วญี่ปุ่นยังคงทำสงครามอยู่กับรัสเซีย เพราะไม่เคยมีการลงนามในข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับปัญหานี้[60]

มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2489) บัญญัติว่า

Cquote1.svg

1. โดยที่มีความมุ่งประสงค์อย่างแท้จริงในสันติภาพระหว่างชาติโดยมีความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐาน ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนานโดยให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ กับทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ
2. เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์ในวรรคก่อน จะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่น ๆ ในทางสงคราม ไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม

Cquote2.svg

สำหรับกองทัพญี่ปุ่นนั้นจะเรียกว่ากองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองทางบก กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล และ กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศ กองกำลังของญี่ปุ่นถูกส่งไปเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในประเทศอิรักใน พ.ศ. 2547-2549 ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติการของกองทัพในต่างประเทศครั้งแรกตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่ 2[61] อย่างไรก็ตาม การส่งกองกำลังไปยังอิรักนี้ถูกต่อต้านจากประชาชนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก[62]

[แก้] ความสัมพันธ์กับประเทศไทย

ประเทศญี่ปุ่นและไทยมีความสัมพันธ์มายาวนานกว่า 600 ปี ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2430[63] ความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นจากการขยายตัวกิจการของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยนับแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้นในพุทธทศวรรษที่ 2520) การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยนับเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย (รองจากจีน) [64] และทำให้มีชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[65] ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย[64] ทั้งสองประเทศมีการทำข้อตกลงทวิภาคีหลายข้อ เช่นข้อตกลงความร่วมมือทางเทคโนโลยี (JTPP: Japan- Thailand Partnership Programme in Technical Cooperation) การจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA:Japan-Thailand Economic Partnership Agreement) [66] เป็นต้น จากการสำรวจความคิดเห็นในกลุ่มประเทศอาเซียน 5 ประเทศที่จัดทำในเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 โดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น พบว่าคนไทยร้อยละ 98 เห็นว่าญี่ปุ่นคือมิตรประเทศ[63]

[แก้] การแบ่งเขตการปกครอง

ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด[67] และ แบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหาร

ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตย่อยลงไปเป็นเมืองและหมู่บ้าน[68] แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเขตย่อยที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเขตลงได้[69] การรวมเขตการปกครองนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เขตใน พ.ศ. 2542 ให้เหลือ 1,773 เขตใน พ.ศ. 2553[70]

ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป


ฮกไกโด โทโฮะกุ คันโต จูบุ

1.  ฮกไกโด

2.  อะโอะโมะริ
3.  อิวะเตะ
4.  มิยะงิ
5.  อะกิตะ
6.  ยะมะงะตะ
7.  ฟุกุชิมะ

8.  อิบะระกิ
9.  โทะจิงิ
10.  กุนมะ
11.  ไซตะมะ
12.  จิบะ
13.  โตเกียว
14.  คะนะงะวะ

15.  นิอิงะตะ
16.  โทะยะมะ
17.  อิชิกะวะ
18.  ฟุกุอิ
19.  ยะมะนะชิ
20.  นะงะโนะ
21.  กิฟุ
22.  ชิซึโอะกะ
23.  ไอจิ

คันไซ จูโงะกุ ชิโกะกุ คีวชู และ โอะกินะวะ

24.  มิเอะ
25.  ชิงะ
26.  เกียวโตะ
27.  โอซะกะ
28.  เฮียวโงะ
29.  นะระ
30.  วะกะยะมะ

31.  ทตโตะริ
32.  ชิมะเนะ
33.  โอะกะยะมะ
34.  ฮิโระชิมะ
35.  ยะมะงุจิ

36.  โทะกุชิมะ
37.  คะงะวะ
38.  เอะฮิเมะ
39.  โคจิ

40.  ฟุกุโอะกะ
41.  ซะงะ
42.  นะงะซะกิ
43.  คุมะโมะโตะ
44.  โออิตะ
45.  มิยะซะกิ
46.  คะโงะชิมะ
47.  โอะกินะวะ

[แก้] ภูมิศาสตร์

แผนที่ประเทศญี่ปุ่น
แผนที่ประเทศญี่ปุ่นแสดงป่าไม้และเทือกเขา

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3,000 เกาะวางตัวอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของทวีปเอเชีย เกาะที่สำคัญเรียงจากเหนือไปใต้ได้แก่ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคีวชู นอกจากนี้ยังมีหมู่เกาะริวกิวทางตอนใต้ของเกาะคีวชู ซึ่งเกาะทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่าหมู่เกาะญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถูกล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน ได้แก่ทะเลโอคอตสค์ทางเหนือ ทะเลญี่ปุ่นทางตะวันตก ทะเลจีนตะวันออกทางตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลฟิลิปปินส์ทางใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก พื้นที่ประมาณร้อยละ 70 เป็นภูเขา[71] ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือทำการเพาะปลูกได้ เพราะมีลักษณะสูงชันและมีโอกาสที่จะเกิดดินถล่มจากแผ่นดินไหวหรือฝนที่ตกหนัก ประชากรญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งอย่างหนาแน่น และทำให้เมืองสำคัญในญี่ปุ่นมีประชากรหนาแน่นมาก[72] ใน พ.ศ. 2548 ญี่ปุ่นมีป่าไม้ร้อยละ 66.4 พื้นที่ทางการเกษตรร้อยละ 12.6 อาคารร้อยละ 4.9 พื้นน้ำร้อยละ 3.5 ถนนร้อยละ 3.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 9[73]

ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก 3 แผ่น[74] ทำให้เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงต่ำบ่อย ๆ[75] และยังมีแผ่นดินไหวความรุนแรงสูงที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหลายครั้งในศตวรรษที่ผ่านมา[76] เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน-อะวะจิ ใน พ.ศ. 2537 และแผ่นดินไหวชูเอะสึจังหวัดนีงาตะ ใน พ.ศ. 2547 เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ ยังทำให้ญี่ปุ่นมีบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว[77] ภูเขาฟูจิซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นก็เป็นภูเขาไฟ

หมู่เกาะญี่ปุ่นวางตัวยาวในแนวเหนือใต้ จึงทำให้มีลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันมาก ประเทศญี่ปุ่นสามารถแบ่งเขตภูมิอากาศออกเป็น 6 เขต คือ

  • ฮกไกโด: พื้นที่ตอนเหนือสุดของประเทศมีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แม้จะมีหยาดน้ำฟ้าไม่มาก แต่ในฤดูหนาวก็มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งเกาะ
  • ทะเลญี่ปุ่น: ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของเกาะฮนชู ลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดผ่านในช่วงฤดูหนาวทำให้มีหิมะตกมาก ในช่วงฤดูร้อนอากาศมักจะเย็นกว่าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าบางครั้งจะเกิดปรากฏการณ์เฟห์นที่ทำให้อากาศร้อนมากผิดปกติ[78]
  • ที่สูงตอนกลาง: อุณหภูมิระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาวและระหว่างกลางวันและกลางคืนมีความแตกต่างมาก
  • ทะเลเซะโตะ: ภูเขาบริเวณจูโงะกุและชิโกะกุช่วยป้องกันบริเวณทะเลเซะโตะจากลมฤดูต่าง ๆ ทำให้บริเวณนี้มีอากาศอบอุ่นและมีฝนตกน้อยตลอดทั้งปี[79]
  • ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก: ตั้งอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรทางตะวันออกของประเทศ ในฤดูหนาวมีอากาศที่หนาวเย็นแต่ไม่ค่อยมีหิมะตก ในฤดูร้อนมีอากาศร้อนและชื้นเพราะลมตะวันออกเฉียงใต้
  • หมู่เกาะตะวันตกเฉียงใต้: หมู่เกาะริวกิวมีอุณหภูมิกึ่งเขตร้อน คืออากาศอุ่นในฤดูหนาวและร้อนในฤดูร้อน มีฝนตกมากและมีไต้ฝุ่นผ่านมาในช่วงเปลี่ยนฤดู

ฤดูฝนหลักเริ่มต้นขึ้นในต้นเดือนพฤษภาคมที่โอะกินะวะ และจึงค่อย ๆไต่ขึ้นไปจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม บนเกาะฮนชูฤดูฝนจะเริ่มในกลางเดือนของเดือนมิถุนายน มีระยะเวลาประมาณเดือนครึ่ง และในช่วงปลายฤดูร้อนจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงมักมีไต้ฝุ่นพัดผ่าน โดยเฉลี่ยจะมีไต้ฝุ่นพัดเข้าใกล้ญี่ปุ่นปีละ 11 ลูก[80]

[แก้] เศรษฐกิจ

ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการแทรกแซงของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[81] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[82] โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 [83] สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[46][84] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[85] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[86]

ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก[87] รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [87] และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ[88] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[89]

จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[90] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[90] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[91] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[92] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด[93]

ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[94] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[95] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[96][95]

ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[97] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6[98]เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[99][100] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น

[แก้] โครงสร้างพื้นฐาน

รถไฟชินกันเซ็นหรือรถไฟหัวกระสุนซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเดินทางที่แพร่หลายในญี่ปุ่น

ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม ร้อยละ 20 จากถ่านหิน ร้อยละ 14 จากก๊าซธรรมชาติ[101] การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด[101] ซึ่งญี่ปุ่นต้องการจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในทศวรรษหน้า

ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบัน รถไฟชินกันเซ็นซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา[102]

การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย[103] สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง[104] สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ[105]

[แก้] วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หุ่นยนต์อาซิโมของฮอนด้า

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[106] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลก[107]ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของ โลก[108] เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด

ญี่ปุ่นยังเป็น หนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมัน อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา [109] ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย[110][111] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก[112]

องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552[113]

[แก้] ประชากร

แยกชิบุยะถนนที่มีผู้สัญจรมากที่สุดในโตเกียว

จากการสำรวจใน พ.ศ. 2548 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127.77 ล้านคน[114] ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่[115] เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวริวกิว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ[116]

ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก[117] โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบี้บูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ[118] จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25[118]) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี พ.ศ. 2548 ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด[119]) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น[120]

[แก้] จำนวนประชากร


ย่านโดตันโบะริ นครโอซะกะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด

[แก้] ศาสนา

โทริอิของศาลเจ้าอิสึกุชิมะซึ่งเป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต

จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา[121] ศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่นลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว

[แก้] ภาษา

ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่[122] ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ[123]

[แก้] การศึกษา

ดูบทความหลักที่ การศึกษาของญี่ปุ่น
มหาวิทยาลัยโตเกียวซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ [124] ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ [125] การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน[126] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย[127] โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก[128] มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น

[แก้] การรักษาพยาบาล

คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ[129] รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น[130] ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ[131] ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516[132] แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป[129]

[แก้] วัฒนธรรม

วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ[133] ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ[133] ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น[134] แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523[135]

[แก้] ดนตรี

การเล่นโคะโตะ

ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอะกินะวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7[136] และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอะกินะวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21[136] ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป[137] ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิคที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ[138] นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโต[139] เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น[140]

[แก้] วรรณกรรม

ภาพจากเรื่องตำนานเกนจิ

วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ[141] และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด[142] ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น[141] ตำนานเกนจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก[143] ระหว่างยุคเอโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น[144] โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น[144] ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ[145] ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) [146] และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537) [147]

[แก้] กีฬา

หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา[148] ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น[148] กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่

[แก้] อาหาร

อาหารเช้าแบบโรงแรมญี่ปุ่น

ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ เทมปุระ สุกียากี้ ยากิโทริและโซบะ[152] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่นทงคัตสึ ราเม็งและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น[153] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[153]

ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[154]และอาหารประจำฤดู[155] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ มิโสะ เต้าหู้[156] ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคอมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[157]

ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[158] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[159] และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[160]

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ "2-3 Population by Prefecture". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. 2005. http://www.stat.go.jp/english/data/nenkan/1431-02.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  2. ^ "CIA World Factbook-Japan". CIA. 2008-11-20. https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#People. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  3. ^ "Gross domestic product 2007, PPP". World Bank. 2008-10-17. http://siteresources.worldbank.org/DATASTATISTICS/Resources/GDP_PPP.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  4. ^ "Gross domestic product based on purchasing-power-parity (PPP) per capita GDP". IMF. http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2008/02/weodata/weorept.aspx?sy=2007&ey=2007&scsm=1&ssd=1&sort=subject&ds=.&br=1&c=512%2C446%2C914%2C666%2C612%2C668%2C614%2C672%2C311%2C946%2C213%2C137%2C911%2C962%2C193%2C674%2C122%2C676%2C912%2C548%2C313%2C556%2C419%2C678%2C513%2C181%2C316%2C682%2C913%2C684%2C124%2C273%2C339%2C921%2C638%2C948%2C514%2C943%2C218%2C686%2C963%2C688%2C616%2C518%2C223%2C728%2C516%2C558%2C918%2C138%2C748%2C196%2C618%2C278%2C522%2C692%2C622%2C694%2C156%2C142%2C624%2C449%2C626%2C564%2C628%2C283%2C228%2C853%2C924%2C288%2C233%2C293%2C632%2C566%2C636%2C964%2C634%2C182%2C238%2C453%2C662%2C968%2C960%2C922%2C423%2C714%2C935%2C862%2C128%2C716%2C611%2C456%2C321%2C722%2C243%2C942%2C248%2C718%2C469%2C724%2C253%2C576%2C642%2C936%2C643%2C961%2C939%2C813%2C644%2C199%2C819%2C184%2C172%2C524%2C132%2C361%2C646%2C362%2C648%2C364%2C915%2C732%2C134%2C366%2C652%2C734%2C174%2C144%2C328%2C146%2C258%2C463%2C656%2C528%2C654%2C923%2C336%2C738%2C263%2C578%2C268%2C537%2C532%2C742%2C944%2C866%2C176%2C369%2C534%2C744%2C536%2C186%2C429%2C925%2C178%2C746%2C436%2C926%2C136%2C466%2C343%2C112%2C158%2C111%2C439%2C298%2C916%2C927%2C664%2C846%2C826%2C299%2C542%2C582%2C443%2C474%2C917%2C754%2C544%2C698%2C941&s=PPPPC&grp=0&a=&pr1.x=39&pr1.y=9. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  5. ^ "Gross domestic product 2007". World Bank. 2008-09-10. http://siteresources.worldbank.org/DATASTATISTICS/Resources/GDP.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  6. ^ Human Development Report 2007/2008
  7. ^ (pdf) Demographic Yearbook—Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density, United Nations Statistics Division, 2007, http://unstats.un.org/unsd/demographic/products/dyb/dyb2007/Table03.pdf, เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-08-26 
  8. ^ "Rank Order-Population". CIA. 2008-07. https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2119rank.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  9. ^ China Overtakes Japan as World's Second-Biggest Economy
  10. ^ เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)
  11. ^ เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)
  12. ^ เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書
  13. ^ 前野みち子. "国号に見る「日本」の自己意識". http://www.lang.nagoya-u.ac.jp/proj/sosho/5/maeno.pdf. 
  14. ^ การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมัน
  15. ^ Google Dictionary (อังกฤษ-ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
  16. ^ Google Dictionary (อังกฤษ-สเปน) (อังกฤษ)
  17. ^ Google Dictionary (อังกฤษ-จีน) (อังกฤษ)
  18. ^ Google Dictionary (อังกฤษ-เกาหลี) (อังกฤษ)
  19. ^ ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน
  20. ^ Prehistoric Archaeological Periods in Japan
  21. ^ The Paleolithic Period / Jomon Period EMuseum, Minnesota State University, Mankato
  22. ^ Yayoi and Jomon World Civilizations, Washington State University
  23. ^ 後漢書, 會稽海外有東鯷人 分爲二十餘國
  24. ^ 24.0 24.1 The Yamato State World Civilizations, Washington State University
  25. ^ Delmer M. Brown (ed.), ed (1993). The Cambridge History of Japan. Cambridge University Press. pp. 140–149. 
  26. ^ William Gerald Beasley (1999). The Japanese Experience: A Short History of Japan. University of California Press. pp. 42. ISBN 0520225600. http://books.google.com/books?vid=ISBN0520225600&id=9AivK7yMICgC&pg=PA42&lpg=PA42&dq=Soga+Buddhism+intitle:History+intitle:of+intitle:Japan&sig=V65JQ4OzTFCopEoFVb8DWh5BD4Q#PPA42,M1. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-27. 
  27. ^ Dolan, Ronald E. and Worden, Robert L., ed. (1994) "Nara and Heian Periods, A.D. 710-1185" Japan: a country study. Library of Congress, Federal Research Division.
  28. ^ Conrad Totman (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 64–79. ISBN 978-1405123594. 
  29. ^ Conrad Totman (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 122–123. ISBN 978-1405123594. 
  30. ^ Mongol Invasion 1274-1281 The Age of the Samurai
  31. ^ 31.0 31.1 George Sansom (1961). A History of Japan: 1334–1615. Stanford. ISBN 0-8047-0525-9. 
  32. ^ Toyotomi Hideyoshi World Civilizations, Washington State University
  33. ^ Stephen Turnbull (2002). Samurai Invasion: Japan's Korean War. Cassel. pp. 227. ISBN 978-0304359486. 
  34. ^ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 188. 
  35. ^ "Japan Glossary; Kokugaku". Washington State University. 1999-07-14. http://www.wsu.edu/~dee/GLOSSARY/KOKUGAKU.HTM. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-28. 
  36. ^ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 262-264. 
  37. ^ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 286-287. 
  38. ^ Jesse Arnold. "Japan: The Making of a World Superpower (Imperial Japan)". vt.edu/users/jearnol2. http://filebox.vt.edu/users/jearnol2/MeijiRestoration/imperial_japan.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-27. 
  39. ^ Katsumi Sugiyama. "Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty". Defense Research Center. http://www.drc-jpn.org/AR-6E/sugiyama-e02.htm. 
  40. ^ Kelley L. Ross. "The Pearl Harbor Strike Force". friesian.com. http://www.friesian.com/pearl.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-27. 
  41. ^ "Japanese Instrument of Surrender". educationworld.net. http://library.educationworld.net/txt15/surrend1.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  42. ^ "San Francisco Peace Treaty". Taiwan Document Project. http://www.taiwandocuments.org/sanfrancisco01.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  43. ^ "United Nations Member States". สหประชาชาติ. http://www.un.org/News/Press/docs/2006/org1469.doc.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  44. ^ "Japan Fact Sheet: Economy". Web Japan. http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  45. ^ "Japan scraps zero interest rates". BBC News. 2006-07-14. http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/5178822.stm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  46. ^ 46.0 46.1 "Japan heads towards recession as GDP shrinks", The Times, 2008-08-13. สืบค้นวันที่ 2008-08-17
  47. ^ 47.0 47.1 รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น มนตรีสภาแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03)
  48. ^ สำรวจญี่ปุ่น: รัฐบาล สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
  49. ^ ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ใน พ.ศ. 2536 ที่เกิดรัฐบาลผสมของพรรคฝ่ายค้าน "A History of the Liberal Democratic Party". พรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่น. http://www.jimin.jp/jimin/english/history/index.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-27. 
  50. ^ Ian Rowley. "Historic victory for DPJ in Japan's election". Business Week. http://www.businessweek.com/globalbiz/blog/eyeonasia/archives/2009/08/historic_victor.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-09-26. 
  51. ^ ""Japanese Civil Code"". Encyclopædia Britannica. 2006. http://www.britannica.com/eb/article-9043364?hook=6804. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-28. 
  52. ^ Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington". Real Clear Politics. http://www.realclearpolitics.com/articles/2007/03/japan_is_back_why_tokyos_new_a.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-28. 
  53. ^ 53.0 53.1 "ญี่ปุ่น: เส้นทาง 60 ปี ในฐานะประเทศที่มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/policy/index.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  54. ^ The United Nations Security Council The Green Papers Worldwide
  55. ^ "นโยบายการต่างประเทศที่สำคัญในปีค.ศ. 2008". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. 2007-08. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/policy/policy2008.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  56. ^ "Net Official Development Assistance in 2007". OECD. http://www.oecd.org/dataoecd/27/55/40381862.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  57. ^ "Poll: Israel and Iran Share Most Negative Ratings in Global Poll". BBC World Service. 2007-03-06. http://news.bbc.co.uk/2/shared/bsp/hi/pdfs/06_03_07_perceptions.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  58. ^ "จีน-ญี่ปุ่น ผลประโยชน์ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด". International Cooperation Study Center, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. http://apecthai.org/2008/th/political.php?intertradeid=26. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  59. ^ "Okinotorishima: Just the Tip of the Iceberg". Harvard Asia Quarterly. 2005. http://www.asiaquarterly.com/content/view/29/40/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  60. ^ "The World Factbook - Russia: Transnational Issues". CIA. https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/rs.html#Issues. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  61. ^ "Tokyo says it will bring troops home from Iraq". International Herald Tribune. 2006-06-20. http://www.iht.com/articles/2006/06/20/news/japan.php. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  62. ^ "Self-serving utilization of opinion poll data". Asahi.com. 2004-12-17. http://www.asahi.com/column/hayano/eng/TKY200412170133.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  63. ^ 63.0 63.1 "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/relation/index.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  64. ^ 64.0 64.1 "เศรษฐกิจ". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/relation/economic.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-16. 
  65. ^ ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในต่างแดนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก"จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/jis/publ/pub3_49/pub9.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-16. 
  66. ^ "ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น". กระทรวงการต่างประเทศ. http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=133. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-16. 
  67. ^ คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด,ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซะกะซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเก็ง (都道府県)
  68. ^ มีวิธีเรียกเขตย่อยหลายอย่างได้แก่ คุ(区) ชิ (市) โช (町) และมุระหรือซน (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่าชิโจซง
  69. ^ "City-merger talks on increase". The Japan Times. 2002-01-26. http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/np20020126a8.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-15. 
  70. ^ "合併相談コーナー". Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.soumu.go.jp/gapei. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-16. 
  71. ^ "Japan Information—Page 1". WorldInfoZone.com. http://www.worldinfozone.com/country.php?country=Japan. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-28. 
  72. ^ "Chapter 2 Population: Population Density and Regional Distribution". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm#cha2_6. 
  73. ^ "Chapter 1 Land and Climate: Land". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c01cont.htm#cha1_1. 
  74. ^ Tectonic Plates
  75. ^ 日本付近で発生した主な被害地震(平成8年~平成20年5月) Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
  76. ^ 過去の地震災害(1995年以前) Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
  77. ^ Attractions: Hot Springs Japan National Tourist Organization
  78. ^ "Foehn phenomenon". Matsue Local Meteorological Observatory. http://www.osaka-jma.go.jp/matue/column/phenomena/foehn.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-02. (ญี่ปุ่น)
  79. ^ "瀬戸内海国立公園:自然環境の概要". Ministry of the Environment. http://www.env.go.jp/park/setonaikai/intro/outline.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-04. (ญี่ปุ่น)
  80. ^ 台風の発生数、接近数、上陸数、経路 Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
  81. ^ The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
  82. ^ "Japan: Patterns of Development". country-data.com. January 1994. http://www.country-data.com/cgi-bin/query/r-7176.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-28. 
  83. ^ "World Factbook; Japan—Economy". CIA. 2006-12-19. https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#Econ. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-12-28. 
  84. ^ "That sinking feeling". The Economist. 2008-10-30. http://www.economist.com/finance/displaystory.cfm?story_id=12522884. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-1. 
  85. ^ "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 2008-09-19. http://www.nytimes.com/2008/09/20/business/worldbusiness/20yen.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-22. 
  86. ^ "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 2009-02-16. http://edition.cnn.com/2009/WORLD/asiapcf/02/16/japan.economy/index.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-02-16. 
  87. ^ 87.0 87.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 2006-09-01. http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2006/02/data/weorept.aspx?sy=2005&ey=2005&scsm=1&ssd=1&sort=country&ds=.&br=1&c=512%2C446%2C914%2C666%2C612%2C668%2C614%2C672%2C311%2C946%2C213%2C137%2C911%2C962%2C193%2C674%2C122%2C676%2C912%2C548%2C313%2C556%2C419%2C678%2C513%2C181%2C316%2C682%2C913%2C684%2C124%2C273%2C339%2C921%2C638%2C948%2C514%2C686%2C218%2C688%2C963%2C518%2C616%2C728%2C223%2C558%2C516%2C138%2C918%2C353%2C748%2C196%2C618%2C278%2C522%2C692%2C622%2C694%2C156%2C142%2C624%2C449%2C626%2C564%2C628%2C283%2C228%2C853%2C924%2C288%2C233%2C293%2C632%2C566%2C636%2C964%2C634%2C182%2C238%2C453%2C662%2C968%2C960%2C922%2C423%2C714%2C935%2C862%2C128%2C716%2C611%2C456%2C321%2C722%2C243%2C965%2C248%2C718%2C469%2C724%2C253%2C576%2C642%2C936%2C643%2C961%2C939%2C813%2C644%2C199%2C819%2C184%2C172%2C524%2C132%2C361%2C646%2C362%2C648%2C364%2C915%2C732%2C134%2C366%2C652%2C734%2C174%2C144%2C328%2C146%2C258%2C463%2C656%2C528%2C654%2C923%2C336%2C738%2C263%2C578%2C268%2C537%2C532%2C742%2C944%2C866%2C176%2C369%2C534%2C744%2C536%2C186%2C429%2C925%2C178%2C746%2C436%2C926%2C136%2C466%2C343%2C112%2C158%2C111%2C439%2C298%2C916%2C927%2C664%2C846%2C826%2C299%2C542%2C582%2C443%2C474%2C917%2C754%2C544%2C698%2C941&s=NGDPD&grp=0&a=&pr1.x=64&pr1.y=9. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-14. 
  88. ^ "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. http://www.nationmaster.com/graph/eco_gdp_ppp-economy-gdp-ppp. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-26. 
  89. ^ Chapter 6 Manufacturing and Construction, Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications
  90. ^ 90.0 90.1 "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要". Statistic Bureau. http://www.stat.go.jp/data/roudou/sokuhou/nen/ft/pdf/index.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-01. 
  91. ^ Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
  92. ^ [1] Forbes Global 2000 Retrieved on 2008-11-02
  93. ^ Market data. New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
  94. ^ "Criss-crossed capitalism". The Economist. 2008-11-06. http://www.economist.com/business/displaystory.cfm?story_id=12564050. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  95. ^ 95.0 95.1 "In the locust position". The Economist. 2007-06-28. http://www.economist.com/business/displaystory.cfm?story_id=9414552. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-02. 
  96. ^ "Going hybrid". The Economist. 2007-11-29. http://www.economist.com/specialreports/displayStory.cfm?story_id=10169956. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-02. 
  97. ^ "Total area and cultivated land area". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-07. 
  98. ^ "Total population and agricultural population". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-07. 
  99. ^ 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF). http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-09-13. 
  100. ^ "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-07. 
  101. ^ 101.0 101.1 Chapter 7 Energy, Statistical Handbook of Japan 2007
  102. ^ จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 Japan's train crash: Your reaction BBC News 2005-05-02
  103. ^ "Year to date Passenger Traffic". Airports Council International. 2008-08. http://www.airports.org/cda/aci_common/display/main/aci_content07_c.jsp?zn=aci&cp=1-5-212-218-222_666_2__. 
  104. ^ "Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works". The New York Times. 1997-03-01. http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9500E3DC1031F932A35750C0A961958260. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  105. ^ "Outlook Bleak for Saga Airport Profitability". Fukuoka Now. 2008-07-31. http://www.fukuoka-now.com/jp/news/show/1860. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  106. ^ Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
  107. ^ "Japanese led world in filing of patent applications in 2005". The Japan Times. 2007-08-11. http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-07. 
  108. ^ [2] ข่าวจากรอยเตอร์
  109. ^ [3] รถยนต์
  110. ^ Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies Union of Concerned Scientists
  111. ^ [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
  112. ^ อ้างอิงผิดพลาด: Invalid <ref> tag; no text was provided for refs named oecdpa
  113. ^ "Press Release". JAXA. 2008-07-08. http://www.jaxa.jp/press/2008/07/20080708_15a2ja_j.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-16. 
  114. ^ "Population Census: Total Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/01.htm. 
  115. ^ "Population Census: Foreigners". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/06.htm. 
  116. ^ "Sue Sumii". The Economist. 1997-07-03. http://www.economist.com/obituary/displaystory.cfm?story_id=E1_VJRPNJ. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-06. 
  117. ^ "The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth". CIA. 2008-10-23. https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2102rank.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-5. 
  118. ^ 118.0 118.1 "Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm. 
  119. ^ "Population Census: Population by Age". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/02.htm. 
  120. ^ "Cloud of population decline may have silver lining". The Japan Times. 2002-09-24. http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-05. 
  121. ^ 世界各国の宗教 (2000年) อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、世界主要国価値観データブック
  122. ^ The World Factbook; Japan-People CIA (2008)
  123. ^ Lucien Ellington (2005-09-01). "Japan Digest: Japanese Education". Indiana University. http://web.archive.org/web/20060427225148/http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2006-04-27. 
  124. ^ Lucien Ellington (2003-12-01). "Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education". Foreign Policy Research Institute. http://www.fpri.org/footnotes/087.200312.ellington.japaneseeducation.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-04-01. 
  125. ^ "School Education" (PDF). MEXT. http://www.mext.go.jp/english/statist/05101901/005.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-10. 
  126. ^ Kate Rossmanith (2007-02-05). "Rethinking Japanese education". The University of Sydney. http://www.usyd.edu.au/news/international/226.html?newsstoryid=1568. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-04-01. 
  127. ^ Gakureki Shakai
  128. ^ OECD’s PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes, OECD, 04/12/2007. Range of rank on the PISA 2006 science scale
  129. ^ 129.0 129.1 "Social Security System". Web Japan. http://web-japan.org/factsheet/pdf/40SocialSecurity.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-10-13. 
  130. ^ "Overview of the Social Insurance Systems". Social Insurance Agency. http://www.sia.go.jp/e/ss.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  131. ^ "Health Insurance: General Characteristics". National Institute of Population and Social Security Research. http://www.ipss.go.jp/s-info/e/Jasos/Health.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-28. 
  132. ^ Victor Rodwin. "Health Care in Japan". New York University. http://www.nyu.edu/projects/rodwin/lessons.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-10. 
  133. ^ 133.0 133.1 "Japanese Culture". Windows on Asia. http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  134. ^ "A History of Manga". NMP International. http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-27. 
  135. ^ Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller. "The History of Video Games". Gamespot. http://uk.gamespot.com/gamespot/features/video/hov/index.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-04-01. 
  136. ^ 136.0 136.1 "Japan Fact Sheet: Music". Web Japan. http://web-japan.org/factsheet/pdf/MUSIC.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  137. ^ "J-Pop History". The Observer. http://observer.guardian.co.uk/omm/story/0,,1550807,00.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-04-01. 
  138. ^ "Seiji Ozawa (Conductor)". 2007-06-22. http://www.bach-cantatas.com/Bio/Ozawa-Seiji.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  139. ^ "Midori Goto: From prodigy to peace ambassador". 2008-11-06. http://edition.cnn.com/2008/SHOWBIZ/11/03/ta.midori/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-23. 
  140. ^ なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。
  141. ^ 141.0 141.1 "Japanese Culture: Literature". Windows on Asia. http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/literature.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  142. ^ "万葉集-奈良時代". Kyoto University Library. http://edb.kulib.kyoto-u.ac.jp/exhibit/np/manyo.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  143. ^ The Tale of Genji
  144. ^ 144.0 144.1 "Japanese Culture: Literature (Recent Past)". Windows on Asia. http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/recentpst.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  145. ^ 145.0 145.1 "สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. http://www.th.emb-japan.go.jp/th/japan/explorejp/page12-19.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-17. 
  146. ^ "The Nobel Prize in Literature 1968". Nobel Foundation. http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1968/index.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-18. 
  147. ^ "Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994". Nobel Foundation. http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1994/oe-bio.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-18. 
  148. ^ 148.0 148.1 148.2 "Japan Fact Sheet: SPORTS". Web Japan. http://web-japan.org/factsheet/pdf/SPORTS.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-19. 
  149. ^ "Sumo: East and West". PBS. http://www.pbs.org/independentlens/sumoeastandwest/sumo.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-03-10. 
  150. ^ Nagata, Yoichi and Holway, John B. (1995). "Japanese Baseball". In Pete Palmer. Total Baseball (fourth edition ed.). New York: Viking Press. pp. 547. 
  151. ^ "Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan" (PDF). The Japan Forum. http://www.tjf.or.jp/takarabako/PDF/TB09_JCN.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-04-01. 
  152. ^ "Traditional Dishes of Japan". Japan National Tourist Organization. http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/jfood_01.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  153. ^ 153.0 153.1 "Japanese Food Culture". Web Japan. http://web-japan.org/factsheet/pdf/JAPANESE_FOOD.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  154. ^ "Japanese Delicacies". Japan National Tourist Organization. http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/index.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  155. ^ "Seasonal Foods". The Japan Forum. http://www.tjf.or.jp/eng/content/japaneseculture/pdf/ge09shun.pdf. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  156. ^ Japanese Food Japan Reference
  157. ^ "Local cuisine of Hokkaido". Japan National Tourist Organization. http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/jfood_02.html#Seafood. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  158. ^ "茶ができるまで". 全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会. http://www.zennoh.or.jp/bu/nousan/tea/dekiru03.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  159. ^ "The Sake Brewing Process". http://www.sake-world.com/html/brewing-process.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 
  160. ^ "Shochu". The Japan Times. 2004-05-30. http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/fl20040530x1.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-27. 

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] หนังสืออ่านเพิ่มเติม

  • Christopher, Robert C., The Japanese Mind: the Goliath Explained, Linden Press/Simon and Schuster, 1983 (ISBN 0-330-28419-3)
  • De Mente, The Japanese Have a Word For It, McGraw-Hill, 1997 (ISBN 0-8442-8316-9)
  • Henshall, A History of Japan, Palgrave Macmillan, 2001 (ISBN 0-312-23370-1)
  • Jansen, The Making of Modern Japan, Belknap, 2000 (ISBN 0-674-00334-9)
  • Johnson, Japan: Who Governs?, W.W. Norton, 1996 (ISBN 0-393-31450-2)
  • Ono et al., Shinto: The Kami Way, Tuttle Publishing, 2004 (ISBN 0-8048-3557-8)
  • Reischauer, Japan: The Story of a Nation, McGraw-Hill, 1989 (ISBN 0-07-557074-2)
  • Sugimoto et al., An Introduction to Japanese Society, Cambridge University Press, 2003 (ISBN 0-521-52925-5)
  • Van Wolferen, The Enigma of Japanese Power, Vintage, 1990 (ISBN 0-679-72802-3)
  • Shinoda, Koizumi Diplomacy: Japan’s Kantei Approach to Foreign and Defense Affairs, University of Washington Press, 2007 (ISBN 0-295-98699-9)
  • Pyle, Japan Rising: The Resurgence of Japanese Power and Purpose, Public Affairs, 2007 (ISBN 1-58648-567-9)
  • Samuels, Securing Japan: Tokyo's Grand Strategy and the Future of East Asia, Cornell University Press, 2008 (ISBN 0-8014-7490-6)
  • Flath, The Japanese Economy, Oxford University Press, 2000 (ISBN 0-19-877503-2)
  • Ito et al., Reviving Japan's Economy: Problems and Prescriptions, MIT Press, 2005 (ISBN 0-262-09040-6)
  • Iwabuchi, Recentering Globalization: Popular Culture and Japanese Transnationalism, Duke University Press, 2002 (ISBN 0-8223-2891-7)
  • Silverberg, Erotic Grotesque Nonsense: The Mass Culture of Japanese Modern Times, University of California Press, 2007 (ISBN 0-520-22273-3)
  • Varley, Japanese Culture, University of Hawaii Press, 2000 (ISBN 0-8248-2152-1)
  • Ikegami, Bonds Of Civility: Aesthetic Networks And The Political Origins Of Japanese Culture, Cambridge University Press, 2005 (ISBN 0-521-60115-0)
  • Stevens, Japanese Popular Music: Culture, Authenticity and Power, Routledge, 2007 (ISBN 0-415-38057-X)
  • Macwilliams, Japanese Visual Culture: Explorations in the World of Manga and Anime, M.E. Sharpe, 2007 (ISBN 0-7656-1602-5)

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

คุณสามารถหาข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ประเทศญี่ปุ่น ได้โดยค้นหาจากโครงการพี่น้องของวิกิพีเดีย:
Wiktionary-logo-th.png หาความหมาย จากวิกิพจนานุกรม
Wikibooks-logo.svg หนังสือ จากวิกิตำรา
Wikiquote-logo.svg คำคม จากวิกิคำคม
Wikisource-logo.svg ข้อมูลต้นฉบับ จากวิกิซอร์ซ
Commons-logo.svg ภาพและสื่อ จากคอมมอนส์
Wikinews-logo.svg เนื้อหาข่าว จากวิกิข่าว
Wikiversity-logo-en.svg แหล่งเรียนรู้ จากวิกิวิทยาลัย

เครื่องมือส่วนตัว

สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ
ป้ายบอกทาง
มีส่วนร่วม
พิมพ์/ส่งออก
เครื่องมือ
ภาษาอื่น